ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไทย...โตไม่แผ่ว ปี '65 ยอดจำหน่ายในประเทศแตะ 1.67 แสนล้านบาท ขณะที่ยอดส่งออก 8.12 หมื่นล้านบาท ปัจจัยหนุน : ท่องเที่ยวโต ธุรกิจโรงแรมกระเตื้อง อสังหาดี ความต้องการที่พักอาศัยเพิ่ม
ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไทย...โตไม่แผ่ว
ปี '65
ยอดจำหน่ายในประเทศแตะ 1.67 แสนล้านบาท ขณะที่ยอดส่งออก 8.12 หมื่นล้านบาท
ปัจจัยหนุน
:
ท่องเที่ยวโต ธุรกิจโรงแรมกระเตื้อง อสังหาดี ความต้องการที่พักอาศัยเพิ่ม
กรมพัฒน์ฯ
เผย 'ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไทย' โตต่อเนื่อง ปัจจัยสนับสนุนเพียบทั้งการกลับมาของนักท่องเที่ยว
ธุรกิจโรงแรมกระเตื้อง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวโน้มดีขึ้น
ความต้องการที่พักอาศัยและบ้านหลังที่ 2 เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ที่มียอดขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปี
2565 ยอดผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ในประเทศแตะ
1.67 แสนล้านบาท ขณะที่ชาวต่างชาติชื่นชอบความประณีต ความสวยงาม
และฝีมือช่างเฟอร์นิเจอร์ไทย ดันยอดส่งออกทะยาน
8.12 หมื่นล้านบาท เตือน!! ผู้ประกอบการต้องหันมาผลิต 'เฟอร์นิเจอร์รักษ์โลก
: Green Furniture' รับเทรนด์ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
หากตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคและแนวโน้มโลกอย่างตรงจุด จะช่วยดันอัตราการเติบโตของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไทยต่อเนื่องไปยาวๆ
นายทศพล
ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า "ทีมวิเคราะห์ธุรกิจ กองข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ได้ทำการวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจที่น่าจับตามอง ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2566 พบว่า หนึ่งในธุรกิจที่มีความโดดเด่น ผลประกอบการดีอย่างต่อเนื่องทั้งในแง่ของรายได้และผลกำไร
แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในอนาคต รวมทั้ง
การเข้ามาของนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ 'ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์' เป็นธุรกิจที่มีความโดดเด่นแซงหน้าหลายธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน
ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งจากภาคการบริการและท่องเที่ยว โดยเฉพาะการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มดีขึ้น
ความต้องการที่พักอาศัยและบ้านหลังที่ 2 เพื่อรองรับการทำงานแบบ hybrid workplace สำหรับชาวไทยรายได้สูงและชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในไทย
นโยบายภาครัฐ เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง รวมถึงธุรกิจที่อยู่อาศัยในจังหวัดภูมิภาคที่มียอดขายเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
เช่น จังหวัดชลบุรีและระยองที่ได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
(EEC) ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เร่งเข้ามาขยายธุรกิจเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองและการจ้างงาน
จังหวัดภูเก็ตเริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาซื้ออาคารเพื่อลงทุน เป็นต้น โดยภาพรวมหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี
2565 ปรับขึ้น 14.3%
อยู่ที่ 392,858 หน่วย รวมถึง
การสร้างและขยายธุรกิจโรงแรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น
พิจารณาจากผลประกอบการของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ช่วง
3 ปีที่ผ่านมา พบว่า ปี 2563 ธุรกิจมีรายได้รวม 151,533.16 ล้านบาท ผลกำไร 3,203.34 ล้านบาท ปี
2564 รายได้ 164,844.29 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 13,311.13 ล้านบาท หรือ 8.79%) กำไร 2,928.07 ล้านบาท (ลดลง 275.27 ล้านบาท หรือ 8.60%) ปี 2565 รายได้ 166,576.23 ล้านบาท
(เพิ่มขึ้น 1,731.94 ล้านบาท หรือ 1.05%) กำไร 4,563.82
ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,635.75 ล้านบาท หรือ 55.87%)
จะเห็นได้ว่า ภาพรวมผลประกอบการของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ในปี 2563 -2565 รายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยรายได้เฉลี่ยปีละกว่า 160,000
ล้านบาท ถึงแม้ว่ารายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นแต่นับว่ามูลค่าตลาดอยู่ในระดับสูง หากพิจารณาผลประกอบการด้านกำไรในปี 2563-2565 มีความผันผวนบ้าง โดยในปี 2564
มีมูลค่าลดลงเล็กน้อย
อธิบดีฯ กล่าวต่อว่า ภาพรวมการส่งออกไปตลาดต่างประเทศ
ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์อันดับที่ 25 ของโลก
โดยไทยมีจุดแข็งด้านวัตถุดิบในประเทศ เช่น ไม้ หวาย และยางพารา เป็นต้น แรงงานที่มีความประณีตและเชี่ยวชาญ จากข้อมูลของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ พบว่า มูลค่าการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ของไทยโดยรวมยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปี 2565 มียอดส่งออกรวม 81,179 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 5% ตลาดหลัก 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และมีการขยายตัวอย่างโดดเด่นในประเทศแถบเอเชียและในกลุ่มอาเซียน
เช่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยหากรวมมูลค่าส่งออกเฟอร์นิเจอร์ของทั้งโลกแล้ว
ประเทศไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.7% ซึ่งยังมีช่องว่างให้ขยายตลาดส่งออกได้อีกมาก
ในส่วนของการเติบโตในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของนักลงทุนชาวไทยและต่างชาติ
พบว่า ปี 2563 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ
399 ราย ทุนจดทะเบียน 1,225.11 ล้านบาท ปี 2564 จดทะเบียน 382 ราย (ลดลง 17
ราย หรือ 4.26%) ทุน 1,052.56 ล้านบาท (ลดลง 172.55
ล้านบาท หรือ 14.09%) และ ปี 2565 จดทะเบียน 368 ราย (ลดลง 14 ราย หรือ 3.67%) ทุน
1,362.47 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 309.91 ล้านบาท หรือ 29.45%) ทั้งนี้ สำหรับปี 2566 (มกราคม -
สิงหาคม) มีการจดทะเบียน
315 ราย (เพิ่มขึ้น 42 ราย หรือร้อยละ 15.39% เมื่อเทียบกับปี 2565 (มกราคม -
สิงหาคม) ที่มีการจดทะเบียน 273 ราย) ทุน 759.42 ล้านบาท (ลดลง 319.60 ล้านบาท หรือ 29.62% เมื่อเทียบกับปี 2565 (มกราคม -
สิงหาคม) ที่มีทุน 1,079.02 ล้านบาท)
ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของคนไทย มีมูลค่าการลงทุน 48,017.18
ล้านบาท คิดเป็น 98.00% ของการลงทุนในธุรกิจทั้งหมด ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติสูงสุด คือ จีน มูลค่า
5,606.99 ล้านบาท (0.89%) รองลงมา คือ สิงคโปร์
มูลค่า 2,238.51 ล้านบาท (0.32%) ญี่ปุ่น มูลค่า 479.56 ล้านบาท (0.31%) และอื่นๆ มูลค่า 4,628.19 ล้านบาท (0.48%)
ปัจจุบัน
ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทย ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2566
มีจำนวน 6,292 ราย คิดเป็น
0.71% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ และมีมูลค่าทุน 60,970.43
ล้านบาท คิดเป็น 0.28% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย
ธุรกิจตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร
จำนวน 2,377 ราย (37.77%) รองลงมา คือ ภาคกลาง 1,971 ราย (31.32%) ภาคเหนือ 532 ราย (8.46%) ภาคตะวันออก 478 ราย (7.60%) ภาคใต้ 415 ราย (6.60%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
381 ราย (6.06%) และ ภาคตะวันตก 138 ราย (2.19%)
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ควรมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและแนวโน้มความต้องการเฟอร์นิเจอร์รูปแบบต่างๆ
ของตลาดโลก โดยเฉพาะปัจจุบันที่พฤติกรรมผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่างๆ หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ทำให้เกิดกระแส 'เฟอร์นิเจอร์รักษ์โลก หรือ Green
Furniture' และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ สำหรับสินค้าเฟอร์นิเจอร์
ถือเป็นโอกาสสำคัญของธุรกิจในการปรับตัวและพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
และเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ ทั้งนี้ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของไทยมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องระยะยาว" อธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้าย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ส่วนประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ
กองข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร. 0
2547 4376 สายด่วน 1570 และ www.dbd.go.th
#SuperDBD
******************************************************
ที่มา : กองข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ฉบับที่ 144 / วันที่ 26 กันยายน 2566