รัฐ ร่วม เอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยพลังคนตัวเล็ก

รัฐ ร่วม เอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยพลังคนตัวเล็ก

      กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือ เครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ทั่วประเทศ เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความเห็นดำเนินธุรกิจให้สอดรับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน พร้อมระดมความคิดวางแนวทางรับมือวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น เห็นพ้องภาคธุรกิจต้องประสานมือกันให้แน่น สร้างคอนเนกชันโครงข่ายเชื่อมโยงพันธมิตรทุกประเภทธุรกิจ..ส่งต่อความรู้ พัฒนาผลิตภัณฑ์ แชร์เคล็ดลับบริหารธุรกิจ และแนะนำลูกค้าระหว่างกัน ขณะที่อีกด้าน..ต้องเร่งเสริมองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้เกิดการพัฒนาสินค้าและบริการ ใช้อิทธิพล Soft Power ขยายโอกาสทางการค้าให้กว้างขวางและเข้มแข็งมากขึ้น พร้อมเตือน!! โลกกำลังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจดิจิทัล ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวทุกด้าน เพื่อลดความเสี่ยงธุรกิจขนาดเล็กหลุดออกจากระบบธุรกิจ มั่นใจ!! คนตัวเล็กจะเป็นพลังสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ และเป็นกลไกที่ช่วยฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ

       นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า "วันนี้ (วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2567) กระทรวงพาณิชย์ โดย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ เครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ทั่วประเทศ ร่วมกันจัดงานสัมมนา 'พลิกโฉมธุรกิจ พิชิตโอกาส' ณ โรงแรมโพธิ์วดล รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.เชียงราย โดยการจัดงานครั้งนี้ สาระสำคัญ คือ การเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความเห็นการดำเนินธุรกิจให้สอดรับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ระดมความคิดหาแนวทางการรับมือวิกฤตเศรษฐกิจที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญอยู่ รวมทั้ง สร้างกระบวนทัศน์ใหม่ใช้เครือข่ายพันธมิตรเป็นเครื่องมือช่วยบริหารจัดการธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ โดยมีภาครัฐให้การสนับสนุนและนำข้อเสนอแนะ/ความคิดเห็นไปกำหนดเป็นนโยบายเพื่อขับเคลื่อนภาคธุรกิจ ขณะที่ภาคเอกชน (เครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย/รายย่อมนำเสนอประสบการณ์/สิ่งที่ได้สัมผัสพบเจอในการประกอบธุรกิจมาแลกเปลี่ยนความเห็น ระดมความคิด และร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินธุรกิจเชิงรุกเพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้า รับมือวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญอยู่ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ ลดความเสี่ยงธุรกิจขนาดเล็กที่อาจจะหลุดออกจากระบบธุรกิจ เกิดรูปแบบโครงสร้างธุรกิจใหม่ที่พร้อมเผชิญและรับมือกับทุกสถานการณ์  

       เบื้องต้น เห็นพ้องว่าท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ภาคธุรกิจต้องบูรณาการและประสานความร่วมมือกันให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น เปลี่ยนคู่แข่งทางธุรกิจให้เป็นพันธมิตรที่คอยส่งเสริมสนับสนุนระหว่างกัน โดยสร้างคอนเนกชันโครงข่ายที่เชื่อมโยงพันธมิตรทุกประเภทธุรกิจเข้าด้วยกัน สร้างลำดับพันธมิตรเพื่อให้ง่ายต่อการส่งต่อองค์ความรู้ใหม่ๆ ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ แลกเปลี่ยนมุมมองการบริหารธุรกิจ และแนะนำลูกค้าระหว่างกัน โดยปัจจุบัน เครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club มีสมาชิกอยู่ทั่วประเทศจำนวน 14,214 ราย ครอบคลุมเกือบทุกประเภทธุรกิจทั้งสินค้าและบริการ หากมีการเชื่อมโยงโครงข่ายที่กว้างขวางจะเกิดการเชื่อมต่อธุรกิจจากจังหวัดและประเภทธุรกิจหนึ่งไปยังอีกจังหวัดและอีกประเภทธุรกิจหนึ่งที่แตกต่างกัน เติมเต็มวัฏจักรธุรกิจให้ครบวงจรและมีความสมบูรณ์มากขึ้น ส่งผลให้เกิดพลวัตทางเศรษฐกิจที่มีการเชื่อมต่อที่ละเอียดมากขึ้น เกิดการเคลื่อนย้ายความคิด นวัตกรรมทางธุรกิจ การสร้างสรรค์ นำไปสู่สิ่งใหม่ที่มีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้นและให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและลดช่องว่างภายในเครือข่ายธุรกิจฯ เกิดความร่วมมือที่ทรงประสิทธิภาพ พร้อมก้าวเดินไปข้างหน้าบนเส้นทางธุรกิจด้วยความแข็งแกร่ง ดังนั้น ทางออกสำหรับวิฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ จึงให้ความสำคัญต่อการสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจทั่วประเทศ เป็นการรวมพลคนตัวเล็กที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ และเป็นกลไกลำดับต้นที่ช่วยฝ่าวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่ธุรกิจขนาดเล็กอาจจะหลุดออกจากระบบธุรกิจไป    

     นอกจากนี้ ยังต้องพัฒนาแหล่งจำหน่ายสินค้าและเชื่อมโยงสินค้าคุณภาพประจำจังหวัดแก่ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club โดยมีการพัฒนาแหล่งจำหน่ายสินค้าแต่ละพื้นที่ให้เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าคุณภาพดีประจำจังหวัดที่สามารถเชื่อมโยงต่อยอดระหว่างกัน ทำให้เกิดการกระจายสินค้าอย่างทั่วถึง สร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะภายในพื้นที่ เป็นการขยายตลาดในลักษณะพื้นที่สู่สาธารณะ ซึ่งจะทำให้สินค้าของผู้ประกอบการเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและเพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจด้านการลงทุนอีกทางหนึ่งด้วย

       อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังเห็นว่า ควรเร่งเสริมสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นสมาชิกเครือข่ายฯ เพื่อให้เกิดการพัฒนาสินค้าและบริการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ส่งผลโดยตรงต่อการสร้างยอดขายและอัตราการเข้าใช้บริการที่เพิ่มขึ้น ที่สำคัญ คือ ต้องนำอิทธิพลของ 'ซอฟท์ พาวเวอร์' มาสร้างสรรค์สินค้าให้มีความแตกต่างหลากหลาย และมีความโดดเด่นแสดงถึง 'อัตลักษณ์ท้องถิ่น' ที่ใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจ เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางไปถึงสถานที่ต้องนึกถึงสินค้าที่ผู้ประกอบการได้รังสรรค์ขึ้นมา และพร้อมที่จะซื้อติดมือกลับไปใช้เองหรือเป็นของฝากของที่ระลึก ซอฟท์ พาวเวอร์ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ที่มาจากองค์ความรู้ต่างๆ การวิจัย การเชื่อมโยงกับวัฒนธรรม พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ การสั่งสมความรู้ของสังคม เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อใช้ในการพัฒนาธุรกิจ ผลิตสินค้า และบริการในรูปแบบใหม่ที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจหรือคุณค่าทางสังคมที่เห็นผลอย่างชัดเจน

       พร้อมเตือน!! ทั่วโลกกำลังเผชิญความท้าทายจาก 'เศรษฐกิจดิจิทัล' ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวทุกด้าน มุ่งสร้างการเติบโตแบบมีส่วนร่วมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และที่สำคัญ คือ ต้องพัฒนาศักยภาพทั้งผู้ประกอบการและธุรกิจไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เกิดทักษะใหม่ๆ โดยใช้นวัตกรรมและข้อมูลรอบด้าน (Data) มาเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก พร้อมทั้งรับฟังเสียงบริบทในสังคม (Social Listening) เพื่อนำมาพัฒนาจุดอ่อน-เสริมจุดแข็งให้แก่สินค้าและบริการ เป็นการเตรียมความพร้อมภาคธุรกิจไทยให้สามารถแข่งขันลักษณะเชิงรุกได้ในตลาด Digital Economy ช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ และลดการเผชิญความเสี่ยงด้านต่างๆ ที่สำคัญภาคธุรกิจต้องมีการพัฒนาธุรกิจให้เป็นธุรกิจสีเขียว (Green Business Development) อย่างจริงจัง เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวได้ทันกับแนวโน้มการประกอบธุรกิจโลกที่นักลงทุนให้ความสำคัญและใช้เป็นปัจจัยหลักในการเลือกเข้ามาลงทุนในประเทศที่ใส่ใจธุรกิจสีเขียวและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมที่เป็นส่วนประกอบหลักในการดำเนินธุรกิจ" อธิบดีอรมน กล่าวทิ้งท้าย

         สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองธุรกิจภูมิภาคและชุมชน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร 0 2547 4445 สายด่วน 1570 และ e-Mail : dcrprov@dbd.go.th และ www.dbd.go.th

#SuperDBD

#กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

#กระทรวงพาณิชย์

                                        ****************************************                                       

ที่มา : กองธุรกิจภูมิภาคและชุมชน                                                  ฉบับที่ 152 / วันที่ 6 สิงหาคม 2567