กรมพัฒนาธุรกิจฯ ประกาศ 9 มาตรการ เร่งเสริมแกร่งติดอาวุธผู้ประกอบการไทยรับมือรูปแบบการค้ายุคใหม่ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างเข้มแข็ง
กรมพัฒนาธุรกิจฯ ประกาศ 9 มาตรการ
เร่งเสริมแกร่งติดอาวุธผู้ประกอบการไทยรับมือรูปแบบการค้ายุคใหม่
เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างเข้มแข็ง และเติบโตอย่างมีศักยภาพ
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประกาศ 9 มาตรการ เร่งเสริมแกร่งติดอาวุธผู้ประกอบการไทยรับมือรูปแบบการค้ายุคใหม่
เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างเข้มแข็งและเติบโตอย่างมีศักยภาพ พร้อมเร่งทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรด้านการบังคับใช้กฎหมายเพื่อกำกับดูแลให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทย
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากรูปแบบการค้าในปัจจุบันที่มีการรุกตลาดแรงและเร็วผ่านระบบออนไลน์
เน้นการขายด้วยสินค้าต้นทุนถูก ทำให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SME ที่ปรับตัวไม่ทัน
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ขานรับข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนภินทร ศรีสรรพางค์)
ให้ดูแล SME จึงพร้อมเดินหน้าเร่งเสริมแกร่งติดอาวุธให้ผู้ประกอบการไทย
เพื่อปรับตัวก้าวให้ทันการแข่งขันยุคใหม่ที่รูปแบบการค้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยจัดกิจกรรมที่จะเสริมแกร่ง SME ด้วยองค์ความรู้และการตลาดแนวใหม่ เสริมด้วยการขยายช่องทางการตลาด
ก้าวทันเทรนด์และตรงใจผู้บริโภค ผ่าน 9 มาตรการ ดังนี้
1.
การขยายช่องทางการตลาดผ่านออนไลน์ โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมผู้ประกอบการให้ใช้ช่องทางการค้าออนไลน์ในการขยายตลาด
ประกอบด้วย 1.1) การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้าน e-Commerce
ให้แก่ผู้ประกอบการทั่วประเทศ
ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรต่างๆ เช่น * หลักสูตรปั้นร้านค้าออนไลน์ขั้นเทพ (Online
Marketing Genius: OMG) *
หลักสูตรปั้นเจ้าของธุรกิจให้เป็นอินฟลูเอนเซอร์ (The Influencer Journey :
TIJ) และ * หลักสูตรสร้างนักขายออนไลน์มืออาชีพ (Smart
Trader Online) ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้ประกอบการได้รับการอบรมทั้ง 3 หลักสูตรรวมกว่า 4,000 ราย 1.2)
การสร้างโอกาสทางการตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce Booster) ผ่าน *
หลักสูตรชุมชนออนไลน์นวัตกรรมรักษ์โลก (Digital Village by BCG) เป็นกิจกรรมยกระดับชุมชน
โดยการนำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเหลือชุมชนที่อยู่ห่างไกลให้สามารถทำการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง
โดยได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน มีเป้าหมาย 20 ชุมชนทั่วประเทศ
1.3) สร้างความเชื่อมั่นและน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าออนไลน์ (Trust and
Security)
ผ่านเครื่องหมายรับรองผู้ประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (DBD
Registered) และเครื่องหมายรับรองความน่าเชื่อถือ (DBD
Verified) 1.4)
สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Market
Collaboration)
ยกระดับสภาพแวดล้อมและปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนา e-Commerce ecosystem ผ่านงานมหกรรม Thailand e-Commerce Expo 2024 จัดขึ้นระหว่างวันที่
20 - 21 สิงหาคม 2567 ณ ไอคอนสยาม โดยมีผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมาย
3,000 ราย รวมถึงการสร้างเครือข่ายแพลตฟอร์มและส่งเสริมการค้าออนไลน์ในประเทศ โดยการจัดทำหน้า Landing Page บนแพลตฟอร์ม e-Marketplace และ Social Commerce ที่มีชื่อเสียง เพื่อส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการไทยในแพลตฟอร์มเหล่านั้นอีกด้วย
2. สร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ SME
โดยนำผู้ประกอบการชุมชนซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายย่อย/รายย่อมออกงานแสดงและจำหน่ายสินค้า
ณ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าชื่อดัง เพื่อสร้างการรับรู้สินค้าและบริการ
เป็นการขยายช่องทางการตลาดผ่านการสัมผัสจับต้อง เช่น * โครงการส่งเสริมพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการรายย่อยก้าวทันการค้ายุคใหม่
ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม - 2 กันยายน 2567 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสเกต
จ.นนทบุรี * โครงการส่งเสริมกระจายสินค้าพื้นถิ่นไทยสู่ตลาด จัดขึ้นระหว่างเดือนตุลาคม
- ธันวาคม 2567 ณ ไอคอนสยาม * นำผู้ประกอบการธุรกิจบริการและสินค้าสุขภาพและความงาม
อาทิ ธุรกิจสปา ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ร่วมออกงานแสดงและจำหน่ายสินค้า ภายในงาน Thailand
Wellness & Healthcare Expo 2024 ระหว่างวันที่ 16 - 18 สิงหาคม
2567 ณ ไบเทค บางนา พร้อมทั้งนำผู้ประกอบการชุมชนเข้าเจรจาจับคู่ธุรกิจกับเทรดเดอร์/บายเออร์รายใหญ่ของประเทศ
เพื่อขยายตลาดและสร้างการรับรู้ให้แก่สินค้ามากขึ้น
3. การส่งเสริมสร้างภาพลักษณ์สินค้าชุมชนของไทย
ทั้งการช่วยประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน DBD
Smart Local BCG ให้เป็นที่รู้จักแก่ผู้บริโภคมากขึ้น
4. การเจรจาหาพื้นที่จำหน่ายสินค้าฟรีหรือราคาพิเศษให้ผู้ประกอบการชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย
เช่น ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า สถานีบริการน้ำมัน ฯลฯ เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ
ปัจจุบันมี 19,000 ทำเล
5.
เสริมสร้างองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์
เช่น การเสริมทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data-Driven
Decision) เพื่อให้สามารถกำหนดแนวทางการผลิตสินค้าที่โดนใจผู้บริโภค
การทำ Branding การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการพัฒนาสินค้า/ธุรกิจ และการยกระดับธุรกิจเข้าสู่เกณฑ์มาตรฐานสากล เป็นต้น
6. ส่งเสริมการเชื่อมโยงพันธมิตรทางธุรกิจ
เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูล ส่งต่อความรู้และลูกค้าระหว่างกัน เช่น
การรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายธุรกิจ MOC
Biz Club ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับ เครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club
ทั่วประเทศ จัดงานสัมมนา 'พลิกโฉมธุรกิจ พิชิตโอกาส' ระหว่างวันที่ 6-7 สิงหาคม 2567 ณ จ.เชียงราย และการรวมกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ที่ได้รับการส่งเสริมจากกรมฯ
7.
การสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ สร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ ด้วยระบบแฟรนไชส์ที่ได้มาตรฐาน
ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีแต้มต่อในการประกอบธุรกิจจากแบรนด์และแผนธุรกิจที่ผ่านความสำเร็จมาแล้ว
8. เสริมศักยภาพร้านค้าโชห่วยด้วยเทคโนโลยียุคใหม่ทั้งด้านความรู้
และใช้ POS บริหารจัดการร้านค้า เพื่อลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย และนำร้านค้าส่งค้าปลีกท้องถิ่นต้นแบบที่ผ่านการพัฒนาจากกรม
ไปเป็นพี่เลี้ยงยกระดับร้านโชห่วยให้มีภาพลักษณ์ที่ดี มีความสามารถในการแข่งขัน พร้อมเชื่อมโยงกับซัพพลายเออร์เพื่อเป็นพันธมิตรในการทำธุรกิจ
9. อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาให้บริการประชาชนและภาคธุรกิจ
เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ลดระยะเวลา
และเพิ่มความเชื่อมั่นในการเข้าใช้บริการกับกรมฯ เช่น การให้บริการข้อมูลธุรกิจ ผ่านระบบ
DBD DataWarehouse+ การให้บริการหนังสือรับรองนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์
(DBD e-Certificate File)
และการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจกิจกรรมติดอาวุธเสริมทักษะเพื่อเร่งปรับตัวรับมือกระแสการค้าโลกใหม่ทั้ง
9 มาตรการ สามารถติดตามข้อมูลและลงทะเบียนร่วมกิจกรรมได้ทาง www.dbd.go.th ซึ่งกรมฯ หวังว่ากิจกรรมเสริมทักษะและติดอาวุธเหล่านี้จะเป็นลมใต้ปีกและพลังสำคัญที่ช่วยให้
SME ไทยสามารถแข่งขันได้อย่างเข้มแข็งและเติบโตได้อย่างมีศักยภาพในโลกการค้ายุคใหม่
ขณะเดียวกัน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะเร่งทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรด้านการบังคับใช้กฎหมายเพื่อกำกับดูแลให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทย
จากการเข้ามาแข่งขันและจัดตั้งธุรกิจโดยผิดกฎหมายของต่างชาติ ซึ่งรวมถึง การตรวจสอบธุรกิจที่มีลักษณะนอมินี
หรือให้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าวเพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุญาตประกอบธุรกิจตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
พ.ศ.2542 ที่กำหนดให้คนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจบริการตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.ฯ และต้องการถือหุ้นเกินร้อยละ
50 ต้องเข้าสู่กระบวนการขออนุญาตโดยถูกต้อง มิฉะนั้นจะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนถึงหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" อธิบดีอรมน กล่าวทิ้งท้าย
#SuperDBD
#กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
#กระทรวงพาณิชย์
****************************************
ที่มา :
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ฉบับที่ 150 / วันที่ 3 สิงหาคม 2567