ต่างชาติหอบเงินมาลงทุนในไทย 5 เดือนแรกของปี 67 รวม 71,702 ล้านบาท ญี่ปุ่นยังคงครองแชมป์อันดับ 1 เงินลงทุนสูงถึง 40,214 ล้านบาท
ต่างชาติหอบเงินมาลงทุนในไทย 5 เดือนแรกของปี 67 รวม 71,702 ล้านบาท
ญี่ปุ่นยังคงครองแชมป์อันดับ 1 เงินลงทุนสูงถึง 40,214 ล้านบาท
ตามด้วยฮ่องกง 12,048 ล้านบาท
และจีน 5,485 ล้านบาท มีการจ้างแรงงานไทยอีก 1,212 คน
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กางตัวเลขของชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยช่วง
5 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-พฤษภาคม) มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้อนุญาตให้นักลงทุนเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยภายใต้
พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 317 ราย เงินลงทุนสะพัดกว่า
54,958 ล้านบาท มีการจ้างแรงงานไทยมากถึง
1,212 คน ญี่ปุ่นยังคงครองแชมป์ลงทุนเป็นอันดับที่ 1 รองลงมาเป็นฮ่องกง
และ จีน ตามลำดับ ส่วนการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC มีจำนวน 99 ราย เพิ่มขึ้นถึง 106% จากปีที่แล้ว มีมูลค่าการลงทุนรวม
18,224 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า 5 เดือนแรกของปีนี้
ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย
ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 317 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
จำนวน 85 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ)
จำนวน 232 ราย เม็ดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 71,702
ล้านบาท มีการจ้างงานคนไทย 1,212 คน โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่
1. ญี่ปุ่น จำนวน 84 ราย คิดเป็นร้อยละ 26
ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุนรวม 40,214 ล้านบาท
โดยลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับ
- ธุรกิจโฆษณา
-
ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการผลิตคอมพาวด์ โพลิเมอร์
-
ธุรกิจบริการเคลือบผิว (SURFACE TREATMENT)
-
ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ เช่น
ระบบควบคุมการผลิตในโรงงาน และระบบจัดการคลังสินค้า เป็นต้น
-
ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ชุดเกียร์สำหรับยานพาหนะและชิ้นส่วนชุดเกียร์/
AIR COMPRESSOR/ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และยานพาหนะ)
2. สิงคโปร์ จำนวน 51 ราย คิดเป็นร้อยละ 16
ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย มีเงินลงทุน 5,189 ล้านบาท
ลงทุนในธุรกิจ เช่น
-
ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น
การให้คำปรึกษาแนะนำในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
การให้บริการติดตั้งเครื่องจักร และการแก้ไขปัญหา เพื่อลดการขัดข้องของเครื่องจักร
เป็นต้น
-
ธุรกิจโฆษณา โดยการให้ใช้พื้นที่บนเว็บไซต์
- ธุรกิจบริการด้านการออกแบบและพัฒนาโปรแกรมซอฟต์แวร์
(Software) ที่ใช้สำหรับจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ
-
ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย, และ/หรือ ให้บริการ เช่น ซอฟต์แวร์จัดการร้านอาหารและสั่งอาหาร
เป็นต้น
-
ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (เครื่องใช้ไฟฟ้า/ ชิ้นส่วนยานพาหนะ/ แม่พิมพ์)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 50 ราย คิดเป็นร้อยละ 16
ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ มีเงินลงทุน 1,196 ล้านบาท
ลงทุนในธุรกิจ เช่น
- ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม
-
ธุรกิจค้าปลีกสินค้า (เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย/ เครื่องมือแพทย์/ เครื่องจักรที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม)
-
ธุรกิจโฆษณา
-
ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและแนะนำในการประกอบธุรกิจ เช่น การบริหารจัดการธุรกิจ, การบริหารทรัพยากรบุคคล และการจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
เป็นต้น
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
(พวงมาลัยรถยนต์/ DRUM BRAKE ASSEMBLY)
4. จีน จำนวน 38 ราย คิดเป็นร้อยละ
12 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ มีเงินลงทุน 5,485 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจประเภท
-
ธุรกิจบริการที่ให้แก่บริษัทในเครือ หรือบริษัทในกลุ่ม (บริการให้เช่าพื้นที่อาคารโรงงาน)
- ธุรกิจการจัดหาจัดซื้อ วัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่นอุตสาหกรรมเหล็กหรืออุตสาหกรรมที่ใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบเพื่อค้าส่งในประเทศ เป็นต้น
- ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือให้บริการเช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูลจากการสนทนา ระบบตอบกลับสนทนาอัตโนมัติ เป็นต้น
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
(โฟมสำหรับยานพาหนะ/ โลหะหล่อขึ้นรูป/ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์)
-
ธุรกิจบริการให้ใช้ช่วงสิทธิแฟรนไชส์ (Franchising)
เพื่อประกอบธุรกิจการขายอาหารและเครื่องดื่ม
5. ฮ่องกง จำนวน 28 ราย คิดเป็นร้อยละ
9 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย มีเงินลงทุน 12,048 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับ
-
ธุรกิจค้าปลีกสินค้า (เครื่องฉีดขึ้นรูป/ ฟิล์มไวแสง)
-
ธุรกิจบริการระบบซอฟต์แวร์ฐาน (SOFTWARE PLATFORM)
ซึ่งเป็นการให้บริการแพลตฟอร์มกลาง ในการจัดการและเชื่อมโยงข้อมูลผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว
-
ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม ก่อสร้าง ติดตั้ง ทดสอบการใช้งานระบบ การซ่อมแซม บำรุงรักษาแผงโซล่าเซลล์และอุปกรณ์ต่างๆ
เกี่ยวกับระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
-
ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (แม่พิมพ์/ เลนส์
เลนส์สัมผัส (Contact Lens) กรอบแว่นตา แว่นตา/ ชิ้นส่วนสำหรับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์)
- ธุรกิจบริการ CLOUD SERVICES โดยเป็นการให้บริการในด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (INFRASTRUCTURE-AS-A-SERVICE)
อธิบดี กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้ามาประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะ ในอุตสาหกรรมที่กล่าวมาข้างต้น มีส่วนช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและทักษะการทำงานขั้นสูงให้กับแรงงานไทย ซึ่งเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านจากประเทศที่เข้ามาลงทุน ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้ระบบบริหารจัดการทรัพยากรทางการเงิน องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลรูปแบบใหม่ องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการ Hybrid Cloud และ Multi Cloud รวมไปถึง องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีควบคุมอุณหภูมิของเครื่องทำความเย็นที่ใช้ติดตั้งกับรถขนส่งขนาดเล็ก เป็นต้น
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยในปี 2567 เพิ่มขึ้นจากปี
2566 จำนวน 43 ราย คิดเป็นร้อยละ 16 (เดือน ม.ค. - พ.ค. 67 อนุญาต 317 ราย/ เดือน ม.ค. - พ.ค. 66 อนุญาต 274
ราย) และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 26,310 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 58 (เดือน ม.ค. - พ.ค. 67 ลงทุน 71,702 ล้านบาท/ เดือน ม.ค. - พ.ค. 66
ลงทุน 45,392 ล้านบาท) ในขณะที่มีการจ้างงานคนไทยลดลง 1,787 ราย คิดเป็นร้อยละ 60 (เดือน ม.ค. - พ.ค. 67 จ้างงาน
1,212 คน/ เดือน ม.ค. - พ.ค. 66 จ้างงาน 2,999
คน) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน
สำหรับการลงทุนในพื้นที่
EEC ของนักลงทุนชาวต่างชาติในช่วง
5 เดือนแรกของปี 2567 มีชาวต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC
จำนวน 99 ราย คิดเป็น 31% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
จำนวน 51 ราย หรือเพิ่มขึ้น 106% (เดือนเดือน ม.ค. - พ.ค. 67
ลงทุน 99 ราย/ เดือน ม.ค. - พ.ค. 66 ลงทุน 48 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC
จำนวน 18,224 ล้านบาท
คิดเป็น 25% ของเงินลงทุนทั้งหมด
เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 8,782 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้น 93% (เดือนเดือน ม.ค. - พ.ค. 67 เงินลงทุน 18,224
ล้านบาท/ เดือนเดือน ม.ค. - พ.ค. 66 เงินลงทุน 9,442 ล้านบาท เป็นนักลงทุนจาก *ญี่ปุ่น 31 ราย ลงทุน 3,523 ล้านบาท *จีน 19 ราย ลงทุน 1,803 ล้านบาท *ฮ่องกง 11
ราย ลงทุน 5,005 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 38 ราย ลงทุน
7,893 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุนเช่น
1. ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม
โดยเป็นการออกแบบทางวิศวกรรมสำหรับระบบต่างๆ ภายในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น
ระบบไฟฟ้า ระบบทำน้ำเย็น และระบบปรับอากาศ เป็นต้น
2. ธุรกิจบริการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทเข็มขัดนิรภัย
ถุงลมนิรภัย
3. ธุรกิจบริการให้ใช้แอปพลิเคชันสำหรับเชื่อมต่อกับระบบบริการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและเดบิตของ ผู้ให้บริการทางการเงิน
4. ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
(ชุดเกียร์สำหรับยานพาหนะและชิ้นส่วนชุดเกียร์,
ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนโลหะ เป็นต้น)
5. ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย
และ/หรือให้บริการ เช่น ระบบควบคุมการผลิตในโรงงาน และระบบจัดการคลังสินค้า
เป็นต้น
#SuperDBD
#กระทรวงพาณิชย์
**********************************************
ที่มา : กองบริหารการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ฉบับที่ 118 /วันที่ 24 มิถุนายน 2567