"นภินทร" ลุยเสริมแกร่ง SMEs ไทย เร่งรัด 9 มาตรการเข้มให้เห็นผลเป็นรูปธรรมเร็วที่สุด เบื้องต้น เคาะ 2 มาตรการ : สร้างอาชีพผ่านระบบแฟรนไชส์ และเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ...ให้ลงมือทำทันที
"นภินทร" ลุยเสริมแกร่ง SMEs ไทย
เร่งรัด 9 มาตรการเข้มให้เห็นผลเป็นรูปธรรมเร็วที่สุด
เบื้องต้น เคาะ 2 มาตรการ : สร้างอาชีพผ่านระบบแฟรนไชส์
และเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ...ให้ลงมือทำทันที
มั่นใจ!!
SMEs ไทย คือ เครื่องจักรสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโต
'SMEs ไทย อยู่รอด...ประเทศไทย อยู่ได้'
รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ 'นภินทร' ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ
SMEs ไทย พร้อมผู้แทนเอกชน ติดตามความคืบหน้า 9 มาตรการเข้ม
พร้อมเร่งรัดให้เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจนโดยเร็วที่สุด ล่าสุดเคาะแล้ว 2 มาตรการ ให้ลงมือดำเนินการทันที 'สร้างอาชีพผ่านระบบแฟรนไชส์' สั่งการ!! เร่งหาทำเลทองทั่วไทยที่ผู้คนพลุกพล่าน
พร้อมเจรจาขอพื้นที่ราคาสุดพิเศษ ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ลดรายจ่าย ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ SMEs พร้อม 'เพิ่มกำลังซื้อในประเทศ' กระตุ้นแรงงานต่างด้าวในไทย
2.5 ล้านคน ซื้อสินค้าไทยส่งกลับประเทศแทนส่งเงิน
คาดเพิ่มผู้ซื้ออีก 15 ล้านคน
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทย วันที่ 8 กุมภาพันธ์
2567 ร่วมกับผู้แทนภาครัฐและเอกชน เช่น สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เครือข่ายธุรกิจบิสคลับประเทศไทย เป็นต้น เพื่อติดตามความคืบหน้ามาตรการส่งเสริมและแก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีไทย
9 ด้าน พร้อมเร่งรัดให้เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจนโดยเร็วที่สุด
ประกอบด้วย 1) บูรณาการหน่วยงานเติมความรู้ SME 2) เพิ่มมูลค่าสินค้า GI ให้เป็นที่รู้จัก 3) การบริหารจัดการสินค้าเกษตรเพื่อรักษาสมดุลราคา 4) พัฒนาร้านค้าโชห่วยด้วยระบบการค้าสมัยใหม่ 5) ส่งเสริมการเติบโต SME ในท้องถิ่นผ่าน THAI SME-GP 6) สนับสนุนและสร้างมาตรฐานธุรกิจ e-Commerce 7) การส่งเสริม/พัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับของไทย
8) สร้างอาชีพผ่านระบบแฟรนไชส์ และ 9) เพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ
ซึ่งมาตรการทั้ง 9 ด้านจะช่วยให้เอสเอ็มอีไทยมีความเข้มแข็งและเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ
พร้อมผลักดันให้ GDP SMEs ในประเทศ ขยับจาก 35.2% เป็น 40% ภายในปี 2570 ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนช่วยกันส่งเสริมและผลักดันให้ความตั้งใจนี้ประสบความสำเร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
ผลการประชุมเบื้องต้น คณะอนุกรรมการฯ
มีมติเคาะ 2 มาตรการเร่งด่วนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าทันที ประกอบด้วย
* สร้างอาชีพผ่านระบบแฟรนไชส์ ที่ประชุมเห็นชอบหลักเกณฑ์การคัดเลือกพื้นที่จัดหาทำเลค้าขายราคาประหยัดสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์และเอสเอ็มอีไทย 8 ข้อ ได้แก่ 1) ใกล้แหล่งชุมชน
เข้าถึงง่าย สะดวกสบายในการมาใช้บริการ 2) มีความหนาแน่นของกลุ่มเป้าหมายที่จะมาเป็นลูกค้า
3) ผู้คนผ่านตลอดทั้งวัน 4) ต้นทุนทำเลเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ 5) ระยะเวลาสัญญาเช่าพื้นที่ที่เหมาะสม 6)
มีที่จอดรถเพียงพอและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ 7) ความพร้อมของสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ และ 8) ไม่มีข้อจำกัดด้านกฎหมายและกฎระเบียบของพื้นที่ เช่น กฎหมายข้อบังคับการจัดพื้นที่ (Zoning) สำหรับธุรกิจบางประเภท เช่น ร้านอาหารบางประเภทห้ามเปิดในบางพื้นที่
หรือ การต้องเสียภาษีป้าย เป็นต้น
และมอบให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเจรจากับภาคเอกชนและหน่วยงานพันธมิตรเพื่อขอจัดสรรพื้นที่ทำเลการค้าในกรุงเทพมหานครในราคาลดพิเศษสำหรับ
SMEs และ แฟรนไชส์ไทย เช่น สถานีบริการน้ำมัน ตลาดชุมชน ห้างสรรพสินค้า และห้างค้าปลีกขนาดใหญ่
โดยเบื้องต้นได้เจรจากับพันธมิตรและได้พื้นที่ราคาลดพิเศษแล้วจำนวน 124
แห่ง
ขณะที่ ส่วนภูมิภาคมอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด
76 จังหวัด
เป็นผู้เจรจากับภาคเอกชน เช่น ตลาดนัด/ตลาดชุมชน
ห้างค้าปลีก/ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต สถานีบริการน้ำมัน
และพื้นที่การค้าอื่นๆ โดยสามารถเจรจาได้พื้นที่แล้ว
จำนวน 3,977 แห่ง ประกอบด้วย ภาคเหนือ
(17 จังหวัด) 758 แห่ง (19%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด 1,435 แห่ง (36%) ภาคกลาง (25
จังหวัด) 1,121 แห่ง (28%) และภาคใต้ (14 จังหวัด) 663 แห่ง
(17%)
นอกจากนี้
กรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังมีธุรกิจแฟรนไชส์ที่ผ่านการพัฒนาศักยภาพและมาตรฐานการประกอบธุรกิจ จำนวน 525 ราย แบ่งเป็น * ธุรกิจอาหาร 234 แบรนด์ (44%) * ธุรกิจเครื่องดื่ม 103 แบรนด์ (20%) * ธุรกิจการศึกษา 68 แบรนด์ (13%) * ธุรกิจบริการ 63
แบรนด์ (12%) * ธุรกิจค้าปลีก 33 แบรนด์ (6%) * ธุรกิจความงาม และสปา 24 แบรนด์ (5%)
รวมถึง ธุรกิจสินค้าชุมชน (Smart Local BCG) และธุรกิจในรูปแบบรถขายอาหารเคลื่อนที่ (ฟู้ดทรัค)
ที่จะเป็นตัวเลือกให้ผู้ประกอบการพิจารณาเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ด้วย
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
โทรศัพท์ 0 2547 5953 สายด่วน 1570 และ
www.dbd.go.th
* เพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ ที่ประชุมได้กำหนดแนวทางดำเนินงานและมาตรการในการขับเคลื่อนนโยบาย
กระทรวงพาณิชย์เพื่อเพิ่มสัดส่วน GDP ของ SME
โดยการเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ คือ
การกระตุ้นและส่งเสริมให้แรงงานต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในไทยซื้อสินค้าในประเทศส่งกลับภูมิลำเนาแทนการส่งเงิน
โดยระยะแรกจะเน้นที่แรงงานจากประเทศเมียนมาก่อน เนื่องจากมีจำนวนแรงงานที่เข้ามาประกอบอาชีพในประเทศไทยมากที่สุด
จำนวน 2,513,856 คน เบื้องต้นได้กำหนดโครงการนำร่อง (Pilot
Project)
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1) กลุ่มสินค้าที่เป็นที่รู้จักของแรงงานต่างด้าวอยู่แล้ว
ผู้ผลิตเป็นผู้ส่งสินค้า หรือ มีศูนย์กระจายสินค้า (DC)/เอาท์เลท
(Outlet) ในประเทศเมียนมา รูปแบบ : แรงงานต่างด้าวในประเทศไทยซื้อสินค้าผ่านผู้ผลิตผ่านระบบสั่งซื้อ และผู้ผลิตจะเป็นผู้บริหารจัดการส่งสินค้าไปยัง DC/Outlet หรือเครือข่ายในประเทศเมียนมาเพื่อมารับสินค้า
2) กลุ่มสินค้า สินค้าชุมชนและ OTOP SME ที่ยังไม่มี Outlet ในประเทศเมียนมา รูปแบบ :
แรงงานต่างด้าวในประเทศไทยสั่งซื้อ สินค้าผ่านแพลตฟอร์มของโลจิสติกส์
และมีการจัดส่งผ่าน Logistics
Platform ของไทยและประเทศเมียนมา นำส่งสินค้าตรงถึงครัวเรือนในเมียนมา
ซึ่งต้องมีการส่งเสริมและนำเสนอสินค้าให้เป็นที่รู้จัก เช่น ให้ทดลองใช้ก่อน
นำเสนอสินค้าให้มีความน่าสนใจในการตัดสินใจซื้อสินค้า เป็นต้น
นอกจากนี้
ยังได้ติดตามมาตรการส่งเสริมและแก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีไทยอีก 7 ด้าน พร้อมกำชับให้เร่งดำเนินงานให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนในระยะเวลาอันใกล้
เพราะยิ่งดำเนินการให้เห็นผลเร็วขึ้นเท่าไร จะส่งผลดีต่อการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมีศักยภาพพร้อมแข่งขันได้ทุกตลาด
เป็นการสร้างและเพิ่มความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการอย่างยั่งยืน พร้อมทั้ง หารือในประเด็น 'การตลาดนำการผลิตในสินค้าเกษตรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ (Biojet Fuels)' ด้วย ทั้งนี้
เอสเอ็มอีจะเป็นเครื่องจักรสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้ GDP SMEs เติบโตทะลุ 40% ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
มั่นใจว่า'เอสเอ็มอีไทย..อยู่รอด ประเทศไทย...อยู่ได้' รมช.พณ.นภินทร กล่าวทิ้งท้าย
#SuperDBD
************************************
ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ฉบับที่ 22 / วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567