กรมพัฒนาธุรกิจฯ เจรจาหารือผู้ผลิต-ผู้จัดจำหน่าย ค้าส่ง-ค้าปลีกรายใหญ่ ดึงเป็นพันธมิตรในการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโอกาส พัฒนาศักยภาพ และเพิ่มยอดขายให้ SME ไทย
กรมพัฒนาธุรกิจฯ เจรจาหารือผู้ผลิต-ผู้จัดจำหน่าย
ค้าส่ง-ค้าปลีกรายใหญ่ ดึงเป็นพันธมิตรในการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโอกาส
พัฒนาศักยภาพ และเพิ่มยอดขายให้ SME ไทย
ตลอดจนเสริมแกร่งโชห่วยเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น สร้างงาน สร้างอาชีพ
เพิ่มรายได้..ให้คนในชุมชน พร้อมยกระดับเป็น 'สมาร์ทโชห่วย' ที่มีระบบบริหารจัดการที่แข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
ลุยต่อไม่รอแล้วนะ!! อธิบดีอรมน
ขานรับนโยบายเร่งด่วนรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ด้านลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส จับเข่าคุยพันธมิตรรอบทิศทุกกลุ่ม หวังเพิ่มโอกาสและสร้างความเข้มแข็งให้เอสเอ็มอี
(SME) ไทย นอกจากลงพื้นที่พบปะพูดคุยช่วยหาช่องทางขยายตลาด ณ สถานประกอบการ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาคแล้ว
ล่าสุดได้เจรจาหารือกับผู้ผลิต-ผู้จัดจำหน่าย ค้าส่ง-ค้าปลีกรายใหญ่ของประเทศ
คือ BJC, MAKRO และ สหพัฒน์ฯ ชวนร่วมเสริมทัพในการสร้างโอกาส และเพิ่มพื้นที่ขายให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อย
(SME) โดยเฉพาะในส่วนของการพัฒนาเพิ่มทักษะองค์ความรู้ที่จำเป็น ส่งเสริมใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเสริมแกร่งเดินหน้าเป็น 'สมาร์ทโชห่วย' และใช้ 'แฟรนไชส์' ช่วยสร้างโอกาสขยายธุรกิจให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น สเต็ปต่อไป..เดินหน้าขยายความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญรายอื่นๆ
ด้วย เช่น บริษัท เซ็นทรัล รีเทล
คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (CRC) มุ่งเป้าสร้างโอกาส
และเสริมแกร่ง SME ไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการท้องถิ่นสู่การเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพที่เป็นแหล่งจ้างงานสำคัญของจังหวัด ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ ให้คนในชุมชน โดยมีภาครัฐและหน่วยงานพันธมิตรให้การสนับสนุนเต็มที่
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า "ความท้าทายที่เป็นโจทย์สำคัญของกระทรวงพาณิชย์และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จากข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนภินทร
ศรีสรรพางค์) คือ เร่งดำเนินการลดรายจ่าย
เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส และสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี พร้อมผลักดันการเพิ่มสัดส่วน GDP เอสเอ็มอีของไทย
จาก 35.2% เป็น 40% ภายในปี 2570 ดังนั้น เป้าประสงค์หลักสำหรับการดำเนินงานของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าปี 2567 จึงเน้นให้ความสำคัญต่อการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
ล่าสุด
กรมฯ ได้หารือร่วมกับพันธมิตรที่เป็นผู้ผลิต-ผู้จัดจำหน่าย ค้าส่ง-ค้าปลีกรายใหญ่
คือ * บริษัท เบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)
หรือ BJC * บริษัท ซีพีแอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO และ * บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ
SME ตลอดไปถึงร้านโชห่วยในท้องถิ่น โดยวาระสำคัญ 'ทำอย่างไรที่จะร่วมมือกันสร้างโอกาสและพัฒนาศักยภาพให้กับธุรกิจค้า
SME และร้านโชห่วยของไทย
สามารถเติบโตด้วยความเข้มแข็งและยืนหยัดคู่คนในท้องถิ่น' รวมทั้ง
เป็นกลไกสำคัญของจังหวัดในการเป็นแหล่งจ้างงานระดับภูมิภาค สร้างงาน สร้างอาชีพ
และเพิ่มรายได้ให้คนในชุมชน ซึ่งโดยรวมเห็นพ้องกันว่า
ลำดับแรกจำเป็นต้องบ่มเพาะสร้างจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการ และเติมความรู้ที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการค้า SME และร้านโชห่วย แม้ว่าโชห่วยจะเป็นกิจการเล็กๆ
แต่เป็นหน่วยธุรกิจเล็กที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศที่ใหญ่มาก ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการค้าส่ง-ค้าปลีกรวมกว่า
400,000 ราย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 370,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เกินกว่า
80%
เป็นโชห่วยรายเล็กที่กระจายอยู่ในชุมชน หมู่บ้านต่างๆ ทั่วประเทศ ดังนั้น
การพัฒนาผู้ประกอบการร้านโชห่วยให้มีความเข้มแข็ง ทั้งการเสริมทักษะองค์ความรู้ด้านต่างๆ
และนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยบริหารจัดการภายในร้านค้าจะทำให้ร้านโชห่วยของไทยได้รับการยกระดับเป็น 'สมาร์ทโชห่วย' ที่พร้อมแข่งขันและพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า BJC, MAKRO และ สหพัฒน์ฯ ยินดีให้ความร่วมมือกับกรมฯ
โดยใช้จุดแข็งของแต่ละบริษัทฯ
สนับสนุนองค์ความรู้ที่จำเป็นและเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่เสริมศักยภาพทุกด้านให้ผู้ประกอบการ โดยจะร่วมกันจัดทำแผนการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม กำหนดช่วงเวลา รูปแบบ และแบ่งกลุ่มผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับสถานที่ตั้งร้านและขนาดโชห่วยแต่ละแห่งเพื่อให้ง่ายต่อการเสริมสร้างทักษะองค์ความรู้และส่งต่อเทคโนโลยี
ทั้งนี้ เชื่อว่า BJC, MAKRO และ สหพัฒน์ฯ
จะเป็นพันธมิตรที่เป็นกำลังสำคัญในการยกระดับผู้ประกอบการโชห่วยให้เป็น 'สมาร์ทโชห่วย' ที่สมบูรณ์
ในเบื้องต้นหน่วยงานพันธมิตร
แจ้งว่า พร้อมให้ความร่วมมือเพื่อสร้างโอกาส และความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ
SME และโชห่วยในกิจกรรมต่างๆ
เช่น
* บริษัท
เบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)
หรือ BJC
ร่วมจัดสัมมนาทั้งรูปแบบออนไลน์และออนไซต์
โดย BJC จัดส่งวิทยากรเข้าร่วมให้ความรู้ผู้ประกอบการด้านการบริหารจัดการร้านค้า รวมถึงการเป็นพันธมิตรโครงการ 'สมาร์ทโชห่วย พลัส' ร่วมกันพัฒนาผู้ประกอบการ ส่งเสริมให้ร้านค้าใช้เทคโนโลยี
POS เป็นตัวช่วยในการบริหารจัดการ
* บริษัท
ซีพีแอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO
ร่วมจัดสัมมนาออนไลน์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการด้านบัญชี
ภาษี การทำประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลมีเดีย และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาร้านค้า
สนับสนุนให้มีการจดทะเบียนพาณิชย์หรือนิติบุคคล
และพร้อมเป็นสื่อกลางส่งต่อข้อมูลของกรมฯ ไปยังร้านค้าโชห่วยที่เป็นสมาชิกของ MAKRO นอกจากนี้
ซีพีแอ๊กซ์ตร้าจะเชิญ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในฐานะตัวแทนภาครัฐที่มีภารกิจด้านการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการเข้าร่วมงานและออกบูธให้คำปรึกษา แนะนำ และร่วมเป็นวิทยากร ในงาน 'ตลาดนัดโชห่วย' ครั้งที่ 14 วันที่ 21 - 24 มีนาคม 2567 ณ
ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น (KICE) จ.ขอนแก่น และงาน 'ตลาดนัด โชห่วยภูมิภาค' ช่วงเดือนพฤษภาคม -
ตุลาคม 2567 จำนวน 6 ครั้ง 6 ภูมิภาค
* บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)
ร่วมเป็นวิทยากรในการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการโชห่วยด้านการบริหารจัดการต้นทุนสินค้า การจัดเรียงสินค้าที่ถูกต้องตามหลักสากล และการคัดเลือกสินค้าที่เหมาะสมมาจำหน่ายภายในร้าน
การเชิญชวนและคัดกรองผู้ประกอบการเข้าร่วมการพัฒนาภายใต้โครงการพัฒนาร้านค้าต้นแบบและโครงการสมาร์ทโชห่วย
พลัส ในปี 2567 รวมทั้งประชาสัมพันธ์กิจกรรมอบรม/สัมมนา และหลักสูตร e-Learning ต่างๆ
ของกรมฯ
เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการร้านค้าโชห่วย
ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ให้แก่ร้านค้า การออกงานแสดงสินค้าและจัดโปรโมชันพิเศษให้แก่ร้านค้าอย่างต่อเนื่อง
อธิบดีอรมน เสริมว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการร้านค้าส่งค้าปลีกตั้งแต่ขนาดเล็ก ได้แก่ ร้านค้าปลีกรายย่อย หรือ
ร้านค้าโชห่วย ไปจนถึงร้านค้าขนาดกลาง-ใหญ่ ได้แก่ ร้านค้าส่งค้าปลีกท้องถิ่นในระดับอำเภอ/จังหวัด โดยมีเป้าหมาย 3 ประการ คือ
1) เพิ่มรายได้ 2) ลดต้นทุน และ 3)
สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ และเน้นด้านการส่งเสริมพัฒนาออกเป็น
3 ด้าน คือ ด้านที่ 1
การเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการร้านค้าโชห่วย
จัดกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการการสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์
ตลอดจนการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการและหน่วยงานพันธมิตรที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่า
(Value Chain) ของธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ด้านที่ 2 พัฒนาร้านค้าให้เป็น 'สมาร์ทโชห่วย' ดำเนินการครอบคลุม
4 ภูมิภาคทั่วประเทศ โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรดำเนินการพัฒนาด้านการปรับภาพลักษณ์ร้านค้า ตามหลัก 5 ส
(สวย สะอาด สว่าง สะดวก สบาย) และด้านการส่งเสริมใช้ระบบ
POS โดยจัดทีมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ให้ความรู้ในการนำระบบ POS (Point of Sale) มาใช้บริหารจัดการภายในร้าน ด้านที่ 3 การยกระดับร้านค้าส่งค้าปลีกท้องถิ่นให้เป็น 'ร้านค้าต้นแบบ' ดำเนินการพัฒนาผู้ประกอบการร้านค้าส่งค้าปลีกท้องถิ่นขนาดกลาง-ใหญ่ในพื้นที่
4 ภูมิภาคทั่วประเทศ
ให้มีมาตรฐานการบริหารจัดการที่ดีตามเกณฑ์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าด้านต่างๆ อาทิ การกำหนดทิศทางและกลยุทธ์สู่ความยั่งยืน
ลูกค้าและการตลาด สารสนเทศ เทคโนโลยีและนวัตกรรม บุคลากร การจัดซื้อและบริหารจัดการโลจิสติกส์ การบริหารการขาย
ลำดับต่อไป
กรมฯ จะเดินหน้าขยายความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรรายอื่นๆ ที่มีความเข้มแข็งแต่ละด้าน
เพื่อเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้แข่งขันได้ทุกตลาดและเติบโตอย่างเป็นระบบ
เช่น บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC
ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจค้าปลีกอันดับต้นของประเทศ ที่มีทั้งประสบการณ์
องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพันธมิตรที่จะช่วยพัฒนาธุรกิจค้าส่ง/โชห่วยและธุรกิจร้านอาหารของไทยให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน
ทั้งนี้ ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก
โทร. 0 2547 5986 www.dbd.go.th และสายด่วนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 1570" อธิบดีอรมน
กล่าวทิ้งท้าย
#SuperDBD
****************************************
ที่มา
: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ฉบับที่ 8 /
วันที่ 22 มกราคม 2567