ด่วน!!! ผู้ประกอบการโชวห่วยต้องเร่งปรับตัว หลังพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปช่วงโควิด-19 ระบาด พร้อมก้าวเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่เต็มรูปแบบ เน้นซื้อของทางออนไลน์
ด่วน!!! ผู้ประกอบการโชวห่วยต้องเร่งปรับตัว
หลังพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปช่วงโควิด-19 ระบาด พร้อมก้าวเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่เต็มรูปแบบ
เน้นซื้อของทางออนไลน์ ระวังเรื่องความสะอาดของร้านค้าและสินค้าโดยต้องปราศจากเชื้อโรค
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เตือน!! ผู้ประกอบการธุรกิจค้าส่งค้าปลีกไทย...นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว ต้องเร่งปรับตัวหลังพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปช่วงโรคโควิด-19 ระบาดทั่วโลก พร้อมก้าวเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่ (New Normal) อย่างเต็มรูปแบบ เน้นซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ระวังเรื่องความสะอาดของร้านค้าและสินค้าโดยต้องปราศจากเชื้อโรค ฯลฯ กรมพัฒน์ฯ ไม่รอช้า จัดโครงการ ยกระดับค้าส่งค้าปลีกไทย สู่ยุค New Normal นำทีมที่ปรึกษาให้คำปรึกษาเชิงลึกและช่วยแก้ไขสารพัดปัญหาให้แก่ร้านค้าส่งค้าปลีกโชวห่วยท้องถิ่นขนาดกลางทั่วประเทศ พร้อมศึกษาดูงานในร้านค้าส่งค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จ ยกระดับร้านโชวห่วยให้สามารถตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคยุค New Normal ได้อย่างตรงจุด มั่นใจ!! ร้านค้าส่งค้าปลีกท้องถิ่นต้องอยู่เคียงคู่สังคมไทยไปอีกนาน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานเปิดโครงการ ยกระดับค้าส่งค้าปลีกไทย สู่ยุค New Normal และการเสวนาเรื่อง แนวทางกลยุทธ์ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกหลัง Covid-19 ผ่านระบบ Zoom ว่า "การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป...ก้าวเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่ (New Normal) อย่างเต็มรูปแบบ โดยให้ความสำคัญเรื่องสุขลักษณะที่ดี ร้านค้า/สินค้าต้องสะอาดปราศจากเชื้อโรค รวมทั้ง เน้นซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ดังนั้น ร้านค้าส่งค้าปลีกของไทยจึงไม่สามารถประกอบธุรกิจได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค เช่น การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์ควบคู่กับการขายสินค้าหน้าร้าน (Omni-Channel) ปรับวิธีการบริหารจัดการร้านค้าให้เป็นระบบ/ระเบียบมากขึ้น ดูแลร้านค้าและสินค้าให้มีความสะอาด หาสินค้าได้ง่าย เนื่องจากลูกค้าจะใช้เวลาอยู่ภายในร้านไม่นาน ฯลฯ เป็นต้น
และจากปัญหาที่เกิดขึ้น กรมฯ เตรียมสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของไทย โดยได้จัดทำโครงการ ยกระดับค้าส่งค้าปลีกไทย สู่ยุค New Normal กลุ่มเป้าหมายคือผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีก โชวห่วยขนาดกลาง จำนวน 180 ราย โดยแบ่งเป็น 4 ภาค ดังนี้ ภาคเหนือ 41 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 57 ราย ภาคกลาง 64 ราย และภาคใต้ 18 ราย มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังโรคโควิด-19 บรรเทาเบาบางลง และรองรับวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ของผู้บริโภค รวมถึง ยกระดับศักยภาพธุรกิจให้มีระบบการบริหารจัดการตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพการบริหารจัดการธุรกิจ เสริมสร้างทักษะการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนการบริหารจัดการร้านค้าและเพิ่มโอกาสในการพัฒนาต่อยอดธุรกิจให้มีรายได้ที่มั่นคง เข้มแข็ง และเติบโตอย่างยั่งยืน
รองอธิบดีฯ กล่าวต่อว่า กรมฯ จะนำผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการร้านค้าปลีกลงพื้นที่ร้านค้าส่งค้าปลีก โชวห่วยขนาดกลางเพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจ โดยระบุปัญหาของแต่ละธุรกิจ รวมถึงให้ข้อเสนอแนะวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างตรงจุด พร้อมทั้ง ลงพื้นที่ศึกษาธุรกิจค้าส่งค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จ โดยนำองค์ความรู้ที่ได้รับจากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ และการศึกษาธุรกิจฯ ที่ประสบความสำเร็จมาปรับใช้ในกิจการของตนเอง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน/เพิ่มกำไรให้แก่ธุรกิจ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุค New normal และแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ร้านค้าส่งค้าปลีกโชวห่วยท้องถิ่นถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ช่วยอำนวยความสะดวกประชาชนให้สามารถซื้อหาสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย รวมถึง เป็นแหล่งกระจายสินค้าท้องถิ่นและสินค้าชุมชนของประเทศ อย่างไรก็ดี ร้านค้าส่งค้าปลีกโชวห่วยท้องถิ่นต้องเผชิญกับความท้าทายจำนวนมาก ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และการแข่งขันในอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ค่อนข้างรุนแรงจากการเข้ามาของร้านค้าปลีกสมัยใหม่และร้านค้าปลีกออนไลน์ ทำให้จำเป็นต้องปรับตัวทั้งด้านการปรับภาพลักษณ์ร้านค้า การตลาด การบริหารคลังสินค้า รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ภายในร้านค้าอย่างเหมาะสม รองอธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ประกอบการธุรกิจค้าส่งค้าปลีกโชวห่วยขนาดกลางประมาณ 6,061 ร้าน และธุรกิจค้าปลีกโชวห่วยขนาดเล็กประมาณ 400,000 ร้าน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2547 5986 สายด่วน 1570 และ www.dbd.go.th
***********************************************
ที่มา : กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ ฉบับที่ 117 / วันที่ 4 มิถุนายน 2563