การจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือนมีนาคม 2564 และไตรมาส 1/2564 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

การจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือนมีนาคม 2564 และไตรมาส 1/2564
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
 
                                          นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แถลงข่าวการจดทะเบียนธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประจำเดือนมีนาคม 2564 และไตรมาส 1/2564 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
 
ผลการจดทะเบียนธุรกิจ
ธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนมีนาคม 2564
                                        - จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศในเดือนมีนาคม 2564 จำนวน 8,841 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 19,426.89 ล้านบาท
                                        - ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 667 ราย คิดเป็น 8% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 366 ราย คิดเป็น 4% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจบริการด้านอาหารในภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 232 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
                                       - ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 6,801 ราย คิดเป็น 76.93% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 1,857 ราย คิดเป็น 21.00% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 171 ราย คิดเป็น 1.93% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 12 ราย คิดเป็น 0.14% ตามลำดับ
 
ธุรกิจจัดตั้งใหม่ไตรมาส 1/2564
                                      - จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศไตรมาส 1/2564 จำนวน 23,389 ราย เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 จำนวน 13,162 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 10,227 ราย คิดเป็น 78% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2563 จำนวน 19,415 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 3,974 ราย คิดเป็น 20%
                                        - ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 1,872 ราย คิดเป็น 8% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 948 ราย คิดเป็น 4% และธุรกิจบริการด้านอาหารในภัตตาคาร/ร้านอาหารจำนวน 556 ราย คิดเป็น 2% ตามลำดับ
                                       - มูลค่าทุนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีจำนวนทั้งสิ้น 70,074.93 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 จำนวน 86,890.93 ล้านบาท ลดลงจำนวน 16,816.00 ล้านบาท คิดเป็น 19% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2563 จำนวน 71,131.29 ล้านบาท ลดลงจำนวน 1,056.36 ล้านบาท คิดเป็น 1%
                                        - ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 18,262 ราย คิดเป็น 78.08% รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 4,776 ราย คิดเป็น 20.42% รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 322 ราย คิดเป็น 1.38% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 29 ราย คิดเป็น 0.12%
 
ธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนมีนาคม 2564
                                          - จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำเดือนมีนาคม 2564 มีจำนวน 790 ราย โดยมีมูลค่า ทุนจดทะเบียนจำนวน 5,550.37 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
                                          - ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 68 ราย คิดเป็น 9% รองลงมาคือ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 67 ราย คิดเป็น 8% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 31 ราย คิดเป็น 4% ตามลำดับ
                                          - ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 539 ราย คิดเป็น 68.23% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 204 ราย คิดเป็น 25.82% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 41 ราย คิดเป็น 5.19% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 6 ราย คิดเป็น 0.76% ตามลำดับ
 
ธุรกิจเลิกประกอบกิจการไตรมาส 1/2564
                                       - จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำไตรมาส 1/2564 มีจำนวน 2,478 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 19,827.65 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
                                       - ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 220 ราย คิดเป็น 9% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 153 ราย คิดเป็น 6% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 86 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
                                       - ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 1,728 ราย คิดเป็น 69.73% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 631ราย คิดเป็น 25.46% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 103 ราย คิดเป็น 4.16% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 16 ราย คิดเป็น 0.65% ตามลำดับ
 
ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ เดือนมีนาคม 2564
                                       - ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น (ณ วันที่ 31 มี.ค. 64) ธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 789,851 ราย มูลค่าทุน 19.33 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 193,374 ราย คิดเป็น 24.48% บริษัทจำกัด จำนวน 595,190 ราย คิดเป็น 75.36% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,287 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ
                                       - ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่แบ่งตามช่วงทุน ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 467,838 ราย คิดเป็น 59.23% รวมมูลค่าทุน 0.41 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.13% รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 232,874 ราย คิดเป็น 29.48% รวมมูลค่าทุน 0.78 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.01% ช่วงถัดไปคือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 72,955 ราย คิดเป็น 9.24% รวมมูลค่าทุน 1.99 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10.30% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 16,183 ราย คิดเป็น 2.05% รวมมูลค่าทุน 16.15 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.56% ตามลำดับ
 
การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าว
เดือนมีนาคม 2564
                                   - เดือนมีนาคม 2564 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 63 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 23 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 40 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 9,977 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จำนวนธุรกิจที่คนต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น 85% (เพิ่มขึ้น 29 ราย) ในขณะที่เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 165% (6,209 ล้านบาท)
                                    - นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ฮ่องกง จำนวน 6 ราย เงินลงทุน 3,213 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ จำนวน 6 ราย เงินลงทุน 77 ล้านบาท และญี่ปุ่น จำนวน 5 ราย เงินลงทุน 48 ล้านบาท ตามลำดับ ปี 2564 (มกราคม - มีนาคม)
 
-เดือนมกราคม - มีนาคม 2564
                                      - คนต่างชาติได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ จำนวน 147 ราย มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 24,493 ล้านบาท
 
 *******************************
 
การให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเดือนมีนาคม 2564
                                       กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลดิจิทัล และ พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวกเพื่อลดต้นทุน ลดเวลา และลดการใช้กระดาษ โดยพัฒนางานบริการทุกกระบวนการของกรมผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้ใช้บริการยื่นขอรับบริการได้ทุกที่ ทุกเวลาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และประกาศกรมเรื่องการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
 
การบริการหนังสือรับรองข้อมูลนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์และผลักดันการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
                                    กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ยกระดับการเป็นหน่วยงานรัฐบาลดิจิทัล โดยการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) มาให้บริการ ซึ่งการบริการ e-Service เป็นการบริการขอหนังสือรับรองผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยขอรับข้อมูลได้ผ่านช่องทาง Walk in EMS Delivery และการออกหนังสือรับรองรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Certificate File) มีจำนวนการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 (ม.ค.-มี.ค.) มีจำนวน 223,780 ราย คิดเป็นร้อยละ 38 ของการให้บริการผ่านระบบ e-Service และรองรับการให้บริการหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติและสมาคมการค้า หนังสือรับรองภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ การขอรับบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากผ่านทาง www.dbd.go.th แล้ว สามารถขอรับบริการผ่านทาง Application DBD e- Service ได้ทั้งระบบ Android และ IOS
                                         การให้บริการขอหนังสือรับรอง และรับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคล ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (ส่วนกลาง) และสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า เขต 1-6 ให้ขอรับบริการได้เฉพาะทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Service) ผ่านเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (www.dbd.go.th) เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2563
                                        กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ปรับลดอัตราค่าบริการหนังสือรับรอง รับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านธนาคาร (e-Certificate) จากอัตราเดิมหนังสือรับรองนิติบุคคล ฉบับละ 150 บาท เป็น ฉบับละ 100 บาท รับรองสำเนาเอกสารทะเบียน งบการเงิน/บัญชี หน้าละ 20 บาท โดยธนาคารกรุงไทย ปรับลดเป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 เมษายน 2564 มีสาขาที่พร้อมให้บริการทั้งสิ้น 983 สาขาทั่วประเทศ
                                         กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ขยายเวลาการลดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทลง 50% สำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด ที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เขตพัฒนาเฉพาะกิจ (พื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล) ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ให้ขยายไปสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566
 
DBD e - Filing การนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์
                                        การนำส่งงบการเงินของนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดปี 2563 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 มีนิติบุคคลนำส่งงบการเงินแล้ว จำนวน 75,877 ราย คิดเป็น 10% ของนิติบุคคลที่ต้องนำส่งงบการเงิน โดยนำส่งผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) จำนวน 74,773 ราย คิดเป็น 99% และนำส่งในรูปแบบกระดาษ จำนวน 1,104 ราย คิดเป็น 1% ทั้งนี้การนำส่งงบการเงินและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นสามารถนำส่งได้ทุกที่ ทุกเวลา และสามารถตรวจสอบข้อมูลงบการเงินผ่าน DBD Data Warehouse หรือ DBD Service ผ่าน Application ได้อย่างรวดเร็ว
                                       กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ขอเชิญชวนให้นิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เตรียมความพร้อมจัดทำและนำส่งงบการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ ให้ทันระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดตามประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นงบการเงิน พ.ศ.2563 และแนวทางปฏิบัติในการยื่นงบการเงินและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2563 ซึ่งกำหนดให้ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนนิติบุคคลต่างประเทศ กิจการร่วมค้า ต้องนำส่งงบการเงินภายใน 5 เดือนนับแต่วันปิดรอบปีบัญชี คือ ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 สำหรับบริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด ต้องนำงบการเงินเสนอต่อผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติในที่ประชุมใหญ่สามัญภายใน 4 เดือนนับแต่วันปิดรอบปีบัญชี (ภายใน 30 เมษายน 2564) โดยบริษัทจำกัดต้องนำส่งบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ประชุมใหญ่ ส่วนบริษัทมหาชนจำกัดจะต้องนำส่งบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บมจ.006) ภายใน 1 เดือนนับแต่วันเสร็จการประชุม หลังจากนั้นทั้งบริษัทจำกัดและบริษัทมหาชนจำกัดจะต้องนำส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่งบการเงินได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น
                                       สำหรับสมาคมการค้าและหอการค้า มีหน้าที่นำงบดุลเสนอเพื่ออนุมัติต่อที่ประชุมใหญ่ภายใน 120 วัน และต้องนำส่งงบดุลนั้นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าภายใน 30 วัน โดยในปีนี้ กรมฯ ได้เพิ่มช่องทางนำส่งงบดุลผ่านออนไลน์ในระบบ DBD e-Filing ให้แก่สมาคมการค้าและหอการค้า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการนำส่งงบดุลของสมาคมการค้า และหอการค้าให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น จึงขอเชิญชวนให้สมัครขอรับรหัสผู้ใช้งานและรหัสผ่าน (Username & Password) ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
                                      กรมจึงขอประชาสัมพันธ์ให้ภาคธุรกิจ สมาคมการค้า หอการค้า นำส่งงบการเงินประจำปี 2564 ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) เป็นหลัก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าทางธุรกิจ และสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลงบการเงินประกอบการทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าระบบ DBD e-Filing จะเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนและสนับสนุนภาคธุรกิจไทยให้ก้าวสู่การค้าในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเป็นรูปธรรม
 
e-Certificate บริการระบบหนังสือรับรอง และรับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านธนาคาร
                                         กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ดำเนินการพัฒนาต่อยอดระบบการให้บริการหนังสือรับรอง และรับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านธนาคาร (e-Certificate) ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2555 และผ่านการรับรองระบบพิมพ์ออกฯ จากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) จึงเป็นนวัตกรรมที่สามารถบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง สะดวก รวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือ และเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด ทำให้ภาคธุรกิจและประชาชนผู้สนใจสามารถติดต่อขอรับบริการ ณ สาขาธนาคารใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการได้รวมทั้งสิ้น 10 ธนาคาร จำนวน 3,747 สาขา
 
e-Secured จดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์
                                       กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เปิดให้บริการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร ผ่าน Web Application และ Web Service แบบ Host to Host และชำระค่าธรรมเนียมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และออกใบเสร็จรับเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) โดยเจ้าพนักงานทะเบียนลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) รวมถึงสามารถตรวจค้นข้อมูลหลักประกันทางธุรกิจเบื้องต้นผ่านเว็บไซต์ www.dbd.go.th หรือผ่านระบบ mobile application (ios และ android) บนสมาร์ทโฟน โดยตั้งแต่ 4 กรกฎาคม 2559 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 มีการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 592,748 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 9,431,986 ล้านบาท โดยมีการนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจและใช้ประกอบธุรกิจมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สิน
 
                                               สำหรับเดือนมีนาคม 2564 มีการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 7,417 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 75,292 ล้านบาท ทั้งนี้ทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจมากที่สุด ได้แก่ สิทธิเรียกร้อง เช่น บัญชีเงินฝาก ลูกหนี้การค้า สิทธิการเช่า คิดเป็น 78.92% (มูลค่า 59,423 ล้านบาท) รองลงมาคือ สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น เครื่องจักร สินค้าคงคลัง คิดเป็น 21.06% (มูลค่า 15,854 ล้านบาท) กิจการ มีการจดทะเบียน คิดเป็น 0.02% (มูลค่า 15 ล้านบาท) จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 655 คำขอ และจดทะเบียนยกเลิกสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 3,447 คำขอ โดยมีผู้รับหลักประกัน จำนวนทั้งสิ้น 317 ราย
 
e-Registration การจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์
                                           การจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2560 - 31 มีนาคม 2564 มีการยืนยันการใช้งาน (Activate) จำนวน 85,201 ราย รับจดทะเบียน 40,158 ราย ซึ่งกรมได้มีการเตรียมการพัฒนาระบบให้อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น ทั้งด้านการยืนยันตัวตนนิติบุคคลและการใช้ระบบงาน รวมถึงการเชื่อมโยงเพื่อสร้างความพร้อมในการดำเนินธุรกิจให้แก่ SME ทั้งด้านการเงินและซอฟแวร์ รวมทั้งการให้บริการสำเนาเอกสารทะเบียนนิติบุคคลรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ของนิติบุคคลที่จดทะเบียนผ่านระบบ e-Registration
 
DBD Connect เชื่อมระบบบัญชีสู่การยื่นงบการเงินออนไลน์ (DBD e-Filing)
                                            กรมฯ ร่วมกับผู้ผลิตซอฟแวร์บัญชีชั้นนำของประเทศ จำนวน 16 ราย (20 โปรแกรม) พัฒนาการเชื่อมโยงซอฟต์แวร์บัญชีกับระบบการนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) แบบอัตโนมัติ ผ่านระบบ DBD Connect อำนวยความสะดวกการจัดทำบัญชีและงบการเงินสำหรับนักบัญชีให้สามารถนำส่งงบการเงิน ในรูปแบบ XBRL ที่เชื่อมโยงข้อมูลทางบัญชีพร้อมนำส่งงบการเงินผ่าน DBD e-Filing ได้โดยตรง และไม่ต้องคีย์ข้อมูลงบการเงินซ้ำ
 
การบริหารจัดการธุรกิจแบบครบวงจร (Total Solution for SMEs) และ e-Accounting for SMEs
                                            Total Solution for SMEs เป็นการขับเคลื่อน SMEs ด้วยนวัตกรรม โดยส่งเสริมให้ธุรกิจเข้าถึงเทคโนโลยีในการบริหารจัดการธุรกิจที่ครบวงจรได้โดยง่าย เปลี่ยน Traditional SMEs เป็น Smart SMEs ซึ่งกรมได้รวบรวมโปรแกรมด้านการบริหารจัดการทั้ง 3 ภาคส่วนไว้ด้วยกันคือ โปรแกรมสำนักงาน (Office) โปรแกรมหน้าร้าน (POS) โปรแกรมบัญชี online (Cloud Accounting) ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ที่เข้าร่วมโครงการรวมทั้งสิ้น 25 โปรแกรม นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้แจกฟรี "โปรแกรม e-Accounting for SMEs" ซึ่งเป็นโปรแกรมหน้าร้าน (POS) ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการค้าขาย เช่น มี Scanner เพื่อซื้อขายสินค้าในตัว , มีฐานข้อมูลของสินค้ามากกว่า 10,000 รายการ เป็นต้น โดยร้านค้าสามารถสมัครขอใช้งานโปรแกรม e-Accounting for SMEs ได้ผ่านทางโครงการ Total Solution for SMEs หรือดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store ในระบบ Android
 
DBD Data Warehouse
                                         กรมได้พัฒนาระบบสารสนเทศให้มีความสมบูรณ์หลากหลาย และสามารถจัดทำผลวิเคราะห์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลธุรกิจ ประกอบด้วยข้อมูลนิติบุคคล ข้อมูลและวิเคราะห์งบการเงิน ข้อมูลซัพพลายเออร์ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ ข้อมูลโอกาสทางธุรกิจ ข้อมูลการลงทุนจากต่างชาติในนิติบุคคลไทย รวมทั้งข้อมูลสถิติการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล พร้อมทั้งนำข้อมูลธุรกิจไปสนับสนุนการตัดสินใจในการประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยในปี 2564 (ม.ค.-มี.ค.) มีจำนวนผู้ใช้บริการทั้งสิ้นจำนวน 2,487,534
 
#PoweredByDBD
****************************
ที่มา : กองข้อมูลธุรกิจ                                                                                   ฉบับที่ 90 / 21 เมษายน 2564