การจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือนกันยายน 2563 และไตรมาส 3/2563 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
การจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือนกันยายน 2563 และไตรมาส 3/2563
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แถลงข่าวการจดทะเบียนธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประจำเดือนกันยายน 2563 และไตรมาส 3/2563 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ผลการจดทะเบียนธุรกิจ
ธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนกันยายน 2563
- จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศ ในเดือนกันยายน 2563 จำนวน 5,636 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 12,782 ล้านบาท
- ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 592 ราย คิดเป็น 11% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 237 ราย คิดเป็น 4% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจบริการด้านอาหารในภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 185 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
- ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 4,176 ราย คิดเป็น 74.10% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 1,375 ราย คิดเป็น 24.40% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 78 ราย คิดเป็น 1.38% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 7 ราย คิดเป็น 0.12% ตามลำดับ
ธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนกันยายน 2563
- จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศ ในเดือนกันยายน 2563 จำนวน 5,636 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 12,782 ล้านบาท
- ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 592 ราย คิดเป็น 11% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 237 ราย คิดเป็น 4% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจบริการด้านอาหารในภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 185 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
- ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 4,176 ราย คิดเป็น 74.10% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 1,375 ราย คิดเป็น 24.40% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 78 ราย คิดเป็น 1.38% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 7 ราย คิดเป็น 0.12% ตามลำดับ
ธุรกิจจัดตั้งใหม่ไตรมาส 3/2563
- จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ ไตรมาส 3/2563 (ก.ค.-ก.ย.) จำนวน 16,841 ราย เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 (เม.ย.-มิ.ย.) จำนวน 13,922 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 2,919 ราย คิดเป็น 21% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2562 จำนวน 19,386 ราย ลดลงจำนวน 2,545 ราย คิดเป็น 13%
- ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 1,716 ราย คิดเป็น 10% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 767 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึงคนโดยสาร จำนวน 480 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
- มูลค่าทุนธุรกิจจัดตั้งใหม่ในไตรมาส 1/2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 43,812 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส2/2563 จำนวน 33,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 10,371 ล้านบาท คิดเป็น 31% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2562 จำนวน 68,353 ล้านบาท ลดลงจำนวน 24,541 ล้านบาท คิดเป็น 36%
- ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 12,426 ราย คิดเป็น 73.79% รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 4,172 ราย คิดเป็น 24.77% รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 211 ราย คิดเป็น 1.25% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 32 ราย คิดเป็น 0.19%
ธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนกันยายน 2563
- จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำเดือนกันยายน 2563 มีจำนวน 1,568 ราย โดยมีมูลค่า ทุนจดทะเบียนจำนวน 8,480 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
- ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 123 ราย คิดเป็น 8% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 103 ราย คิดเป็น 7% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 46 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
- ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 1,087 ราย คิดเป็น 69.33% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 395 ราย คิดเป็น 25.19% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 75 ราย คิดเป็น 4.78% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 11 ราย คิดเป็น 0.70% ตามลำดับ
ธุรกิจเลิกประกอบกิจการไตรมาส 3/2563
- จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 4,166 ราย เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 จำนวน 3,058 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 1,108 ราย คิดเป็น 36% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2562 จำนวน 5,287 ราย ลดลงจำนวน 1,121 ราย คิดเป็น 21% ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์ปกติที่จะมีแนวโน้มของการจดทะเบียนเลิกประกอบธุรกิจ
- ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 328 ราย คิดเป็น 8% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 246 ราย คิดเป็น 6% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 122 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
- มูลค่าทุนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ในไตรมาส 3/2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 21,556 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 จำนวน 11,892 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 9,664 ล้านบาท คิดเป็น 81% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2562 จำนวน 52,573 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 31,017 ล้านบาท คิดเป็น 59%
- ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 2,855 ราย คิดเป็น 68.53% รองลงมาคือ ช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 1,078 ราย คิดเป็น 25.88% ลำดับถัดไปคือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 207 ราย คิดเป็น 4.97% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 26 ราย คิดเป็น 0.62%
ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ เดือนกันยายน 2563
- ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น (ณ วันที่ 30 ก.ย. 63) ธุรกิจที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน774,012 ราย มูลค่าทุน 18.62 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 187,912 ราย คิดเป็น 24.28% บริษัทจำกัด จำนวน 584,818 ราย คิดเป็น 75.55% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,282 ราย คิดเป็น 0.17% ตามลำดับ
- ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่แบ่งตามช่วงทุน ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 457,268 ราย คิดเป็น 59.08% รวมมูลค่าทุน 0.40 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.15% รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 228,491 ราย คิดเป็น 29.52% รวมมูลค่าทุน 0.76 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.08% ช่วงถัดไปคือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 72,290 ราย คิดเป็น 9.34% รวมมูลค่าทุน 1.97 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10.58% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 15,963 ราย คิดเป็น 2.06% รวมมูลค่าทุน 15.49 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.19% ตามลำดับ
การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าว
เดือนกันยายน 2563
- เดือนกันยายน 2563 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น จำนวน 51 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 22 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 29 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 15,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 6,413 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 71 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
- นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 14 ราย เงินลงทุน 1,372 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ จำนวน 4 ราย เงินลงทุน 712 ล้านบาท และฮ่องกง จำนวน 4 ราย เงินลงทุน 260 ล้านบาท
*******************************
การให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเดือนกันยายน 2563
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลดิจิทัล และ พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวกเพื่อลดต้นทุน ลดเวลา และลดการใช้กระดาษ โดยพัฒนางานบริการทุกกระบวนการของกรมผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้ใช้บริการยื่นขอรับบริการได้ทุกที่ ทุกเวลาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และประกาศกรมเรื่องการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
การบริการหนังสือรับรองข้อมูลนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์และผลักดันการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ยกระดับการเป็นหน่วยงานรัฐบาลดิจิทัล โดยการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) มาให้บริการ ซึ่งการบริการ e-Service เป็นการบริการขอหนังสือรับรองผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยขอรับข้อมูลได้ผ่านช่องทาง Walk in EMS Delivery และการออกหนังสือรับรองรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Certificate File) มีจำนวนการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 (ม.ค.-ก.ย.) มีจำนวน 399,449 ราย คิดเป็นร้อยละ 30 ของการให้บริการผ่านระบบ e-Service และรองรับการให้บริการหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติและสมาคมการค้า หนังสือรับรองภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ การขอรับบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากผ่านทาง www.dbd.go.th แล้ว สามารถขอรับบริการผ่านทาง Application DBD e- Service ได้ทั้งระบบ Android และ IOS
การให้บริการขอหนังสือรับรอง และรับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคล ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (ส่วนกลาง) และสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า เขต 1-6 ให้ขอรับบริการได้เฉพาะทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Service) ผ่านเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (www.dbd.go.th) เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2563
DBD e - Filing การนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์
การนำส่งงบการเงินของนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดปี 2562 ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 มีนิติบุคคลนำส่งงบการเงินแล้ว จำนวน 563,672 ราย คิดเป็น 78% ของนิติบุคคลที่ต้องนำส่งงบการเงินโดยนำส่งผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) จำนวน 552,157 ราย คิดเป็น 98% และนำส่งในรูปแบบกระดาษ จำนวน 11,515 ราย คิดเป็น 2% ทั้งนี้การนำส่งงบการเงินและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นสามารถนำส่งได้ทุกที่ ทุกเวลา และสามารถตรวจสอบข้อมูลงบการเงินผ่าน DBD Data Warehouse และ DBD e - Service ผ่าน Application ได้อย่างรวดเร็ว
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิค 19 เพื่อให้การนำส่งงบการเงินและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรมฯ ได้มีมาตรการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาด ดังนี้
- ให้บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด สมาคมการค้า และหอการค้า รายใดที่ได้รับผลกระทบจาก การแพร่ระบาดของโรคโควิค 19 จนทำให้เกิดเหตุขัดข้องไม่สามารถจัดประชุมหรือจัดประชุมล่าช้าเกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และเมื่อได้ดำเนินการจัดประชุมแล้ว ให้มีหนังสือชี้แจงเหตุผลยื่นต่อนายทะเบียนเป็นรายกรณีไป
- ให้การยื่นงบการเงินของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน บริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย และกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร การยื่นสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด การยื่นสำเนารายงานประจำปี และสำเนารายงานการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทมหาชนจำกัด สามารถยื่นผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) ได้
ทั้งนี้ กรมจึงขอประชาสัมพันธ์ให้นิติบุคคลเตรียมความพร้อมการดาว์นโหลดไฟล์ Excel บอจ.5เพื่อกรอกบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นและดาวน์โหลดไฟล์งบการเงิน Excel เวอร์ชั่น 2 เพื่อกรอกงบการเงินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยศึกษาวิธีการใช้งานได้ที่ www.dbd.go.th เลือก "บริการออนไลน์" "ระบบนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing)" โดยดาวน์โหลดวีดิทัศน์ไฟล์งบการเงิน Excel เวอร์ชั่น 2 และวิธีกรอกไฟล์ Excel บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เพื่อนำส่งได้อย่างถูกต้องครบถ้วน
e-Certificate บริการระบบหนังสือรับรอง และรับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านธนาคาร
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ดำเนินการพัฒนาต่อยอดระบบการให้บริการหนังสือรับรอง และรับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านธนาคาร (e-Certificate) ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2555 และผ่านการรับรองระบบพิมพ์ออกฯ จากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) จึงเป็นนวัตกรรมที่สามารถบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง สะดวก รวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือ และเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด ทำให้ภาคธุรกิจและประชาชนผู้สนใจสามารถติดต่อขอรับบริการ ณ สาขาธนาคารใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการได้รวมทั้งสิ้น 10 ธนาคาร จำนวน 3,835 สาขา
e-Secured จดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เปิดให้บริการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร ผ่าน Web Application และ Web Service แบบ Host to Host และชำระค่าธรรมเนียมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และออกใบเสร็จรับเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) โดยเจ้าพนักงานทะเบียนลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) รวมถึงสามารถตรวจค้นข้อมูลหลักประกันทางธุรกิจเบื้องต้นผ่านเว็บไซต์ www.dbd.go.th หรือผ่านระบบ mobile application (ios และ android) บนสมาร์ทโฟน โดยตั้งแต่ 4 กรกฎาคม 2559 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 มีการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 551,833 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 8,652,018 ล้านบาท โดยมีการนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจและใช้ประกอบธุรกิจมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สิน
สำหรับเดือนกันยายน 2563 มีการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 7,823 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 114,338 ล้านบาท ทั้งนี้ทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจมากที่สุด ได้แก่ สิทธิเรียกร้อง เช่น บัญชีเงินฝาก ลูกหนี้การค้า สิทธิการเช่า คิดเป็น 82.63% (มูลค่า 94,473 ล้านบาท) รองลงมาคือ สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น เครื่องจักร สินค้าคงคลัง คิดเป็น 17.36% (มูลค่า 19,847 ล้านบาท) กิจการ มีการจดทะเบียน คิดเป็น 0.02% (มูลค่า 17 ล้านบาท) และ ไม้ยืนต้น คิดเป็น 0.0001% (มูลค่า 154,800 บาท) และมีผู้รับหลักประกัน รวมจำนวนทั้งสิ้น 268 ราย
e-Registration การจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์
การจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2560 - 30 กันยายน 2563 มีการยืนยันการใช้งาน (Activate) จำนวน 69,774 ราย รับจดทะเบียน 31,737 ราย ซึ่งกรมได้มีการเตรียมการพัฒนาระบบให้อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น ทั้งด้านการยืนยันตัวตนนิติบุคคลและการใช้ระบบงาน รวมถึงการเชื่อมโยงเพื่อสร้างความพร้อมในการดำเนินธุรกิจให้แก่ SME ทั้งด้านการเงินและซอฟแวร์ รวมทั้งการให้บริการสำเนาเอกสารทะเบียนนิติบุคคลรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ของนิติบุคคลที่จดทะเบียนผ่านระบบ e-Registration
DBD Connect เชื่อมระบบบัญชีสู่การยื่นงบการเงินออนไลน์ (DBD e-Filing)
กรมฯ ร่วมกับผู้ผลิตซอฟแวร์บัญชีชั้นนำของประเทศ จำนวน 16 ราย (20 โปรแกรม) พัฒนาการเชื่อมโยงซอฟต์แวร์บัญชีกับระบบการนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) แบบอัตโนมัติ ผ่านระบบ DBD Connect อำนวยความสะดวกการจัดทำบัญชีและงบการเงินสำหรับนักบัญชีให้สามารถนำส่งงบการเงิน ในรูปแบบ XBRL ที่เชื่อมโยงข้อมูลทางบัญชีพร้อมนำส่งงบการเงินผ่าน DBD e-Filing ได้โดยตรง และไม่ต้องคีย์ข้อมูลงบการเงินซ้ำ
การบริหารจัดการธุรกิจแบบครบวงจร (Total Solution for SMEs) และ e-Accounting for SMEs
Total Solution for SMEs เป็นการขับเคลื่อน SMEs ด้วยนวัตกรรม โดยส่งเสริมให้ธุรกิจเข้าถึงเทคโนโลยีในการบริหารจัดการธุรกิจที่ครบวงจรได้โดยง่าย เปลี่ยน Traditional SMEs เป็น Smart SMEs ซึ่งกรมได้รวบรวมโปรแกรมด้านการบริหารจัดการทั้ง 3 ภาคส่วนไว้ด้วยกันคือ โปรแกรมสำนักงาน (Office) โปรแกรมหน้าร้าน (POS) โปรแกรมบัญชี online (Cloud Accounting) ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ที่เข้าร่วมโครงการรวมทั้งสิ้น 25 โปรแกรม
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้แจกฟรี "โปรแกรม e-Accounting for SMEs" ซึ่งเป็นโปรแกรมหน้าร้าน (POS) ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการค้าขาย เช่น มี Scanner เพื่อซื้อขายสินค้าในตัว , มีฐานข้อมูลของสินค้ามากกว่า 10,000 รายการ เป็นต้น โดยร้านค้าสามารถสมัครขอใช้งานโปรแกรม e-Accounting for SMEs ได้ผ่านทางโครงการ Total Solution for SMEs หรือดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store ในระบบ Android
DBD Data Warehouse
กรมได้พัฒนาระบบสารสนเทศให้มีความสมบูรณ์หลากหลาย และสามารถจัดทำผลวิเคราะห์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลธุรกิจ ประกอบด้วยข้อมูลนิติบุคคล ข้อมูลและวิเคราะห์งบการเงิน ข้อมูลซัพพลายเออร์ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ ข้อมูลโอกาสทางธุรกิจ ข้อมูลการลงทุนจากต่างชาติในนิติบุคคลไทย รวมทั้งข้อมูลสถิติการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล พร้อมทั้งนำข้อมูลธุรกิจไปสนับสนุนการตัดสินใจในการประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยในปี 2563 (ม.ค.-ก.ย.) มีจำนวนผู้ใช้บริการทั้งสิ้นจำนวน 6,778,275 ครั้ง
****************************
ที่มา : กองข้อมูลธุรกิจ ฉบับที่ 7 / 27 ตุลาคม 2563