การจดทะเบียนธุรกิจ ประจำเดือนกันยายน 2562 และ ไตรมาส 3/2562 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

การจดทะเบียนธุรกิจ ประจำเดือนกันยายน 2562 และ ไตรมาส 3/2562
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
 
               นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แถลงข่าวการจดทะเบียนธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประจำเดือนกันยายน 2562 และไตรมาส 3/2562 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
 
     ผลการจดทะเบียนธุรกิจ
              ธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนกันยายน
 
               -  จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศ ในเดือนกันยายน 2562 จำนวน 6,954 ราย เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2562 จำนวน 5,973 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 981 ราย คิดเป็นร้อยละ 16 และเมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2561 จำนวน 6,313 ราย เพิ่มขึ้น จำนวน 641 ราย คิดเป็นร้อยละ 10
              -  ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 669 ราย คิดเป็น ร้อยละ 10 รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 391 ราย คิดเป็นร้อยละ 6 และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร จำนวน 239 ราย คิดเป็นร้อยละ 3
               -  มูลค่าทุนธุรกิจจัดตั้งใหม่ ในเดือนกันยายน 2562 มีจำนวนทั้งสิ้น 28,315 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2562 จำนวน 17,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 11,143 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 65 และเมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2561 จำนวน 48,027 ล้านบาท ลดลงจำนวน 19,712 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 41
               -  ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุน ไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 5,035 ราย คิดเป็นร้อยละ 72.40 รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 1,789 ราย คิดเป็นร้อยละ 25.73 รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 103 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.48 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 27 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.39
 
              ธุรกิจจัดตั้งใหม่ไตรมาส 3/2562
 
               - จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ ไตรมาส    3/2562 (ก.ค.-ก.ย.) จำนวน 19,386 ราย เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2562 (เม.ย.-มิ.ย.) จำนวน 17,472 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 1,914 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2561 จำนวน 18,723 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 663 ราย คิดเป็นร้อยละ 4
                -   ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 1,812 ราย คิดเป็นร้อยละ 9 รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1,065 ราย คิดเป็นร้อยละ 5 และธุรกิจภัตตาคาร / ร้านอาหาร จำนวน 622 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 ตามลำดับ
               -  มูลค่าทุนธุรกิจจัดตั้งใหม่ ในไตรมาส 3/2562 มีจำนวนทั้งสิ้น 68,353 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส2/2562 จำนวน 65,365 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 2,988 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5 และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2561 จำนวน 97,614 ล้านบาท ลดลงจำนวน 29,261 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 30
               -  ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 13,993 ราย คิดเป็นร้อยละ 72.18 รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 5,008 ราย คิดเป็นร้อยละ 25.83 รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 328 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.69 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 57 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.30
               -  ธุรกิจจัดตั้งใหม่สะสม จำนวนธุรกิจตั้งใหม่สะสมตั้งแต่เดือน ม.ค. - ก.ย. 62 มีจำนวน 57,608 ราย เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ม.ค. - ก.ย. 61) จำนวน 56,271 ราย โดยเพิ่มขึ้น จำนวน 1,337 ราย คิดเป็นร้อยละ 2 สำหรับมูลค่าทุนจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่สะสมตั้งแต่เดือน ม.ค. - ก.ย. 62 มีจำนวน 186,109 ล้านบาท ลดลง 54,377 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับของปีที่ผ่านมา (ม.ค. - ก.ย. 61) จำนวน 240,486 ล้านบาท
 
             ธุรกิจเลิกประกอบกิจการ เดือนกันยายน
 
              -  จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 1,938 ราย เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2562 จำนวน 1,755 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 183 ราย คิดเป็นร้อยละ 10 และเมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2561 จำนวน 1,899 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 39 ราย คิดเป็นร้อยละ 2
             -  ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 158 ราย คิดเป็นร้อยละ 8 รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 127 ราย คิดเป็นร้อยละ 7 และธุรกิจภัตตาคาร / ร้านอาหาร จำนวน 44 ราย คิดเป็นร้อยละ 2 ตามลำดับ
              -  มูลค่าทุนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ในเดือนกันยายน 2562 มีจำนวนทั้งสิ้น 15,361 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2562 จำนวน 28,933 ล้านบาท ลดลงจำนวน 13,572 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 47 และเมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2561 จำนวน 6,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 8,806 ล้านบาท คิดเป็น 1.3 เท่า
             -  ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 1,395 ราย คิดเป็นร้อยละ 71.98 รองลงมาคือช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 446 ราย คิดเป็นร้อยละ 23.01 ลำดับถัดไปคือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 88 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.54 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 9 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.47
 
               ธุรกิจเลิกประกอบกิจการไตรมาส 3/2562
 
               -  จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 5,287 ราย เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2562 จำนวน 3,379 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 1,908 ราย คิดเป็นร้อยละ 56 และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2561 จำนวน 5,327 ราย ลดลงจำนวน 40 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.8 ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์ปกติที่จะมีแนวโน้มของการจดทะเบียนเลิกประกอบธุรกิจในช่วงปลายปี
              -   ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 456 ราย คิดเป็นร้อยละ 9 รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 323 ราย คิดเป็นร้อยละ 6 และธุรกิจภัตตาคาร / ร้านอาหาร จำนวน 131 ราย คิดเป็นร้อยละ 2 ตามลำดับ
              -   มูลค่าทุนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ในไตรมาส 3/2562 มีจำนวนทั้งสิ้น 52,573 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2562 จำนวน 12,341 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 40,232 ล้านบาท คิดเป็น 3.2 เท่า และเมื่อเทียบกับ ไตรมาส 3/2561 จำนวน 22,993 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 29,580 ล้านบาท คิดเป็น 1.3 เท่า 
             -   ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 3,700 ราย คิดเป็นร้อยละ 69.98 รองลงมาคือช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 1,305 ราย คิดเป็นร้อยละ 24.68 ลำดับถัดไปคือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 250 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.73 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 32 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.61
              -   ธุรกิจเลิกสะสม จำนวนธุรกิจเลิกสะสมตั้งแต่เดือน ม.ค. - ก.ย. 62 มีจำนวน 11,954 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 338 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ม.ค. - ก.ย. 61) จำนวน 11,616 ราย มูลค่าทุน จดทะเบียนธุรกิจเลิกสะสมตั้งแต่เดือน ม.ค. - ก.ย. 62 มีจำนวน 74,909 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,588 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับของปีที่ผ่านมา (ม.ค. - ก.ย. 61) จำนวน 62,321 ล้านบาท
 
              ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ เดือนกันยายน
 
               -  ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น (ณ วันที่ 30 ก.ย. 62) ธุรกิจที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน743,073 ราย มูลค่าทุน 18 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด / ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 183,862 ราย คิดเป็นร้อยละ 24.74 บริษัทจำกัด จำนวน 557,955 ราย คิดเป็นร้อยละ 75.09 และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,256 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.17 แนวโน้มการจัดตั้งธุรกิจ 
             -  ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่แบ่งตามช่วงทุน ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 440,101 ราย คิดเป็นร้อยละ 59.23 รวมมูลค่าทุน 0.39 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.17 รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 217,186 ราย คิดเป็นร้อยละ 29.23 รวมมูลค่าทุน 0.71 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.94 รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 70,444 ราย คิดเป็นร้อยละ 9.48 รวมมูลค่าทุน 1.91 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.61 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 15,342 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.06 รวมมูลค่าทุน 14.99 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 83.28 ตามลำดับ
 
            แนวโน้มการจัดตั้งธุรกิจ
              เมื่อประเมินจากสถานการณ์การจดทะเบียนและสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงแนวโน้มการจดทะเบียนจัดตั้ง ตามฤดูกาล (seasonal trend) จึงคาดการณ์ว่าสถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (ไตรมาส 4 ปี 2562) จะใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีแนวโน้มการจดทะเบียนในไตรมาสสุดท้ายของปีลดลงตามแนวโน้มฤดูกาลในช่วงสิ้นปี
 
          การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าว
 
                เดือนกันยายน
 
               -  เดือนกันยายน 2562 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น 48 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ 18 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ 30 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 17,594 ล้านบาท
              -   นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 15 ราย เงินลงทุนกว่า 15,410 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ จำนวน 7 ราย เงินลงทุน 307 ล้านบาท และจีน 6 ราย เงินลงทุน 718 ล้านบาท
            -  การเปรียบเทียบการลงทุนรายเดือน เมื่อเปรียบเทียบการเข้ามาลงทุนของชาวต่างชาติในเดือนกันยายน กับเดือนสิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า จำนวนธุรกิจที่คนต่างชาติเข้ามาลงทุนลดลง 1 ราย หรือร้อยละ 2 ในขณะที่เงินลงทุนลดลง 1,276 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7
 
 
              ไตรมาส 3/2562
 
              -  เดือนมกราคม -กันยายน 2562 คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ จำนวน 448 ราย มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 101,579 ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรากฏว่าจำนวนธุรกิจที่ได้รับอนุญาต ลดลง 106 ราย (19%) ขณะที่เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 28,680 ล้านบาท (39%) เนื่องจากใน ปี 62 มีต่างชาติลงทุนประกอบ
                  ธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง อาทิ บริการออกแบบทางวิศวกรรม และบริหารจัดการโครงการปลดประจำการเรือสำหรับผลิตและเก็บปิโตรเลียม บริการออกแบบ จัดหา ก่อสร้าง ติดตั้งและทดสอบเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก เป็นต้น 
 
 ******************************
 
การให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเดือนกันยายน 2562
 
               กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลดิจิทัล และ พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวก เพื่อลดต้นทุน ลดเวลา และลดการใช้กระดาษ โดยพัฒนาการบริการทุกระบวนการของกรม ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้ใช้บริการยื่นขอรับบริการได้ทุกที่ ทุกเวลา
 
e-Registration การจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์
 
             การจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2560 - 30 กันยายน 2562 มีการยืนยันการใช้งาน (Activate) จำนวน 47,024 ราย รับจดทะเบียน 18,504 ราย ซึ่งกรมได้มีการเตรียมการพัฒนาระบบให้อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น ทั้งด้านการยืนยันตัวตนนิติบุคคลและการใช้ระบบงาน รวมถึงการเชื่อมโยงเพื่อสร้างความพร้อมในการดำเนินธุรกิจให้แก่ SME ทั้งด้านการเงินและซอฟแวร์ รวมทั้งการให้บริการสำเนาเอกสารทะเบียนนิติบุคคลรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ของนิติบุคคลที่จดทะเบียนผ่านระบบ e-Registration
 
DBD e - Filing การนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์
 
           กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ออกประกาศหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการยื่นงบการเงินประจำปี 2561 สำหรับนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 จะต้องนำส่งงบการเงินภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2562 ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 นิติบุคคลนำส่งงบการเงินแล้วจำนวน 553,410 ราย โดยนำส่งผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ DBD e-Filing) จำนวน 514,469 ราย คิดเป็นร้อยละ 93 และนำส่งในรูปแบบกระดาษ จำนวน 38,941 ราย คิดเป็นร้อยละ 7 จะเห็นว่าการนำส่งงบการเงินผ่านระบบ DBD e-Filing อยู่ในสัดส่วน 93% ของนิติบุคคลที่ได้นำส่งงบการเงินแล้ว ซึ่งมียอดการนำส่งงบการเงินสูงกว่าปีก่อนเมื่อเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน ถือว่าการรณรงค์เชิญชวนให้นิติบุคคลนำส่งงบการเงินผ่านระบบ DBD e-Filing ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งกรมฯ มั่นใจว่าการนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ จะสามารถอำนวยความสะดวกลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายให้แก่ภาคธุรกิจ เนื่องจากสามารถนำส่งงบการเงินได้ทุกที่ ทุกเวลา และสามารถตรวจสอบข้อมูลผ่าน DBD Data Warehouse และ DBD e - Service Application ได้อย่างรวดเร็ว โดยถือเป็น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการผลักดันให้กรมฯ ก้าวสู่การเป็นหน่วยงานภาครัฐดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และตอบสนองการพัฒนาระบบให้บริการภาคธุรกิจที่เป็นเลิศมุ่งสู่ยุค Thailand 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาล 
 
             สำหรับนิติบุคคลที่ยังไม่นำส่งงบการเงิน กรมฯ จะดำเนินการติดตามให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างใกล้ชิดต่อไป ซึ่งการนำส่งงบการเงินผ่านระบบ DBD e-Filing จะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลงบการเงินเพื่อทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว เป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ภาคธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้ารวมทั้ง สถาบันการเงินในการติดต่อทำธุรกรรมอีกด้วย e- Secured จดทะเบียนสัญญาหลักประกันทาง
 
e- Secured จดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์
 
             กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เปิดให้บริการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร ผ่าน Web Application และ Web Service แบบ Host to Host และชำระค่าธรรมเนียมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และออกใบเสร็จรับเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt)
              โดยเจ้าพนักงานทะเบียนลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) รวมถึงสามารถตรวจค้นข้อมูลหลักประกันทางธุรกิจเบื้องต้นผ่านเว็บไซต์ www.dbd.go.th หรือผ่านระบบ mobile application (ios และandroid) บนสมาร์ทโฟน โดยตั้งแต่ 4 กรกฎาคม 2559 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 มีการจดทะเบียนสัญญาหลักประกัน ทางธุรกิจ จำนวน 447,297 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 7,160,137ล้านบาท โดยมีการนำ ทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจและใช้ประกอบธุรกิจมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สิน
              สำหรับเดือนกันยายน 2562 มีการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 10,908 คำขอ มูลค่าทรัพย์สิน ที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 192,998 ล้านบาท ทั้งนี้ทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจมากที่สุด ได้แก่ สิทธิเรียกร้อง เช่น บัญชีเงินฝาก ลูกหนี้การค้าสิทธิการเช่า คิดเป็นร้อยละ 88.78 (มูลค่า 171,345 ล้านบาท) รองลงมาคือ สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น สินค้าคงคลัง เครื่องจักรคิดเป็นร้อยละ 11.21 (มูลค่า 21,629 ล้านบาท) กิจการ มีการจดทะเบียนคิดเป็นร้อยละ 0.01 (มูลค่า 23 ล้านบาท) และ ไม้ยืนต้น เป็นประเภทไม้ยางพารา คิดเป็นร้อยละ 0.0002 (มูลค่า 300,000 บาท) และมีผู้รับหลักประกัน รวมจำนวนทั้งสิ้น 212 ราย
             ในวันที่ 5 กันยายน 2562 กรมจัดสัมมนาเรื่อง "ทรัพย์อิงสิทธิเข้าถึงแหล่งทุน สนับสนุนธุรกิจไทย"ณ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำหรับผู้ประกอบการ สถาบันการเงิน และผู้สนใจทั่วไป โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา จำนวน 189 คน
 
การบริการหนังสือรับรองข้อมูลนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์และผลักดันการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
 
             กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ยกระดับการเป็นหน่วยงานรัฐบาลดิจิทัล โดยการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) มาให้บริการ ซึ่งการบริการ e-Service เป็นการบริการขอหนังสือรับรองผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยขอรับข้อมูลได้ผ่านช่องทาง Walk in EMS Delivery และการออกหนังสือรับรองรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Certificate File) ซึ่งการบริการในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์มีจำนวนการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนกันยายน 2562 มีจำนวน 15,047 ราย เพิ่มขึ้น 16% จากเดือนที่ผ่านมา (ส.ค.62 จำนวน 12,982 ราย) และ ได้ขยายการให้บริการสู่การบริการหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติและสมาคมการค้า หนังสือรับรองภาษาอังกฤษ
 
            ทั้งนี้ การขอรับบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากผ่านทาง www.dbd.go.th แล้ว สามารถขอรับบริการผ่านทาง Application DBD e- Service ได้ทั้งระบบ Android และ IOS
 
DBD e-Accounting โปรแกรมบัญชีเพื่อช่วยเหลือ SMEs
            กรมได้ดำเนินการแจก"โปรแกรม e-Accounting for SMEs  ช่วยเหลือ SMEs สามารถบริหารจัดการร้านค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อน ลดระยะเวลา ประหยัดค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น โดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ทาง Play store ซึ่งมีการพัฒนาซอฟแวร์บัญชีเชื่อมต่อกับการนำส่งงบการเงิน ทางระบบ DBD e-Filing ผ่านทาง DBD Connect ซึ่งเป็นการร่วมกับผู้พัฒนาซอฟแวร์บัญชีเพื่อเชื่อมโยงระบบงานบัญชีเข้าสู่งบการเงินทางออนไลน์ได้โดยทันที จำนวน 15 ราย
 
 Total Solution for SMEs
 
            การขับเคลื่อน SMEs ไทย ด้วยนวัตกรรมออนไลน์ โดยส่งเสริมให้ธุรกิจเข้าถึงเทคโนโลยีทางการบัญชี และบริหารจัดการร้านค้าได้โดยง่าย ให้ได้รับข้อมูลในการบริหารจัดการธุรกิจแบบถูกต้อง ครบวงจร เปลี่ยน Traditional SMEs เป็น Smart SMEs ซึ่งกรมได้รวบรวมโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทั้ง 3 ภาคส่วนไว้ด้วยกันคือ โปรแกรมสำนักงาน (Office) โปรแกรมหน้าร้าน (POS) โปรแกรมบัญชี online (Cloud Accounting) โดยผู้ประกอบการสามารถจัดทำบัญชีเบื้องต้นได้เองก่อนส่งข้อมูลให้ผู้ทำบัญชีตรวจสอบ
 
DBD Business Data Warehouse+
 
             กรมได้พัฒนาระบบสารสนเทศให้มีความสมบูรณ์หลากหลาย และสามารถจัดทำผลวิเคราะห์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลธุรกิจ ประกอบด้วยข้อมูลนิติบุคคล ข้อมูลและวิเคราะห์งบการเงิน ข้อมูลซัพพลายเออร์ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ ข้อมูลโอกาสทางธุรกิจ ข้อมูลการลงทุนจากต่างชาติในนิติบุคคลไทย รวมทั้งข้อมูลสถิติการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล พร้อมทั้งนำข้อมูลธุรกิจไปสนับสนุนการตัดสินใจในการประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยในปี 2562 (ม.ค.-ก.ย.) มีจำนวนผู้ใช้บริการทั้งสิ้นจำนวน 6,660,660 ครั้ง
 
 ****************************
ที่มา : กองข้อมูลธุรกิจ                                                                                             ฉบับที่ 15 / 29 ตุลาคม 2562