7 เดือนของปี 2565 ต่างชาติลงทุนในไทย กว่า 73,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 เกือบ 28,925 ล้านบาท หรือ 65% ญี่ปุ่นนำโด่ง 28,970 ล้านบาท ตามด้วย จีน 14,662 ล้านบาท และสิงคโปร์ 10,568 ล้านบาท จ้างงานคนไทยรวมกว่า 3,308 คน

7 เดือนของปี 2565 ต่างชาติลงทุนในไทย กว่า 73,635 ล้านบาท

เพิ่มขึ้นจากปี 2564 เกือบ 28,925 ล้านบาท หรือ 65%

ญี่ปุ่นนำโด่ง 28,970 ล้านบาท ตามด้วย จีน 14,662 ล้านบาท และสิงคโปร์ 10,568 ล้านบาท

จ้างงานคนไทยรวมกว่า 3,308 คน

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (นายทศพล ทังสุบุตร) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว รายงานให้ทราบว่า ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค. - ก.ค.) ของปี 2565 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 323 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แบ่งเป็น ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 122 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 201 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 73,635 ล้านบาท จ้างงานคนไทยกว่า 3,308 คน ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 82 ราย (ร้อยละ 25) เงินลงทุน 28,970 ล้านบาท สิงคโปร์ 58 ราย (ร้อยละ 18) เงินลงทุน 10,568 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 40 ราย (ร้อยละ 12) เงินลงทุน 3,229 ล้านบาท ฮ่องกง 26 ราย (ร้อยละ 8) เงินลงทุน 7,263 ล้านบาท และ จีน 14 ราย (ร้อยละ 4) เงินลงทุน 14,662 ล้านบาท

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 (มกราคม - กรกฎาคม) พบว่า อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 45 ราย คิดเป็นร้อยละ 16 (ปี 2565 อนุญาตฯ 323 ราย ปี 2564 อนุญาต 278 ราย) เม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 28,925 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 65 (ปี 2565 ทุน 73,635 ล้านบาท ปี 2564 ทุน 44,710 ล้านบาท) และจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้น 1,135 ราย คิดเป็นร้อยละ 52 (ปี 2565 จ้างงาน 3,308 คน ปี 2564 จ้างงาน 2,173 คน) โดยปี 2564 ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนสูงสุด คือ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และ สหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับปี 2565

        7 เดือนแรก (ม.ค. - ก.ค. 2565) ธุรกิจที่ได้รับอนุญาตส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ อาทิ

     * บริการออกแบบ ก่อสร้าง ติดตั้ง และตรวจสอบระบบกักเก็บพลังงาน สำหรับโครงการโรงผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานสำหรับสนามบินอู่ตะเภา

          * บริการขุดเจาะปิโตรเลียม

          * บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Electric Vehicle Charging Station) สำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า

        * บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้คำปรึกษา เชิงเทคนิคแบบครบวงจรในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ การช่วยเหลือด้านการออกแบบ การพัฒนา และทดสอบระบบ เป็นต้น

           * บริการออกแบบด้านวิศวกรรม จัดหา ก่อสร้าง ติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำยาอะคริลิก

          * บริการให้ใช้แพลตฟอร์มแอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ สำหรับการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า และสั่งซื้อสินค้าและบริการ

           * บริการพัฒนาและให้บริการซอฟต์แวร์ด้านวิเคราะห์และเชื่อมโยงเพื่อบริหารจัดการข้อมูล Big Data, Data Analytics

 

การลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ 7 เดือน (ม.ค. - ก.ค. 2565) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 59 ราย คิดเป็นร้อยละ 18 ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมดใน 7 เดือนนี้ โดยมีเงินลงทุนในพื้นที่ EEC กว่า 31,562 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 43 ของเงินลงทุนทั้งหมด ทั้งนี้ เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 26 ราย ลงทุน 20,500 ล้านบาท สิงคโปร์ 6 ราย ลงทุน 1,792 ล้านบาท และ สหรัฐอเมริกา 5 ราย ลงทุน 1,074 ล้านบาท ธุรกิจที่ลงทุน อาทิ 1) บริการตรวจสอบและวิเคราะห์สภาพการทำงานของเครื่องจักรชนิดหมุนโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Services) ด้วยระบบคลาวด์ (Cloud) และเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ (Sensor Technology) 2) บริการประกอบและติดตั้งชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และ 3) บริการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนสำหรับอุปกรณ์โทรคมนาคม เป็นต้น

        คาดว่าอีก 5 เดือนที่เหลือ (ส.ค. - ธ.ค. 2565) จะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมการลงทุน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆ รวมถึง เพิ่มการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

        ทั้งนี้ เฉพาะเดือนกรกฎาคม 2565 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติ 39 ราย ประกอบธุรกิจในประเทศไทย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แบ่งเป็น ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 16 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 23 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 3,675 ล้านบาท จ้างงานคนไทยกว่า 135 คน ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา รวมถึง มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสำหรับระบบการชำระเงินและการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ องค์ความรู้เกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบแบตเตอรี่ที่ใช้ในกระบวนการผลิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ไฮบริด และองค์ความรู้เกี่ยวกับพื้นฐานการทำงานของแอปพลิเคชันสำหรับให้คำปรึกษาทางการแพทย์ เป็นต้น

        สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาต ได้แก่  

           * บริการให้ใช้แพลตฟอร์มสำหรับให้คำปรึกษาทางการแพทย์ออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน

* บริการตรวจสอบแบตเตอรี่ที่ในกระบวนการผลิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) และรถยนต์ไฮบริด (Hybrid Vehicle)

* บริการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล สำหรับการให้บริการแพลตฟอร์มจัดสรรเงินลงทุนในกองทุนรวม

* บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ และตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์ เป็นต้น

   

#PoweredByDBD

**********************************************

 

ที่มา : กองบริหารการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า                    ฉบับที่ 125 / วันที่ 31 สิงหาคม 2565