พาณิชย์ จับมือ ธ.ก.ส. และ กรมป่าไม้ ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ให้ความรู้พร้อมเชิญชวนสมาชิกวิสาหกิจชุมชนและเกษตรกรนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ
พาณิชย์ จับมือ ธ.ก.ส. และ กรมป่าไม้ ลงพื้นที่
จ.อุบลราชธานี
ให้ความรู้พร้อมเชิญชวนสมาชิกวิสาหกิจชุมชนและเกษตรกรนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ
กระทรวงพาณิชย์ โดย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือ ธ.ก.ส. และกรมป่าไม้
ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ให้ความรู้พร้อมเชิญชวนเกษตรกรและสมาชิกวิสาหกิจชุมชนนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ เตรียมพัฒนาพื้นที่ให้เป็น 'ชุมชนไม้มีค่า' ต่อยอดสร้างรายได้ให้ชุมชน เพื่อสร้างความอยู่ดีกินดีให้ครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่น
นางรวีพรรณ ช้างเย็นฉ่ำ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาไม้ยืนต้นหลักประกันทางธุรกิจ
ณ ชุมชนบ้านบัวเทิง หมู่ที่ 4
ตำบลท่าช้าง อำเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565 ว่า "วันนี้ กระทรวงพาณิชย์ โดย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) และกรมป่าไม้ ลงพื้นที่ชุมชนบ้านบัวเทิง จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อให้ความรู้พร้อมเชิญชวนสมาชิกวิสาหกิจชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่นำไม้ยืนต้นที่ปลูกบนที่ดินกรรมสิทธิ์มาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ
ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวเป็นนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์
ลักษณวิศิษฏ์) และ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสินิตย์ เลิศไกร) ที่ต้องการผลักดันให้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจสามารถช่วยแก้ปัญหาด้านการเงิน/แหล่งเงินทุนให้แก่เกษตรกร สมาชิกวิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และไมโครเอสเอ็มอี โดยใช้ไม้ยืนต้นที่ปลูกบนที่ดินกรรมสิทธิ์มาเป็นหลักประกันทางธุรกิจในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
เป้าหมายสำคัญของการลงพื้นที่ คือ
ทำอย่างไรให้เกษตรกรและสมาชิกวิสาหกิจชุมชนเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจให้ได้มากที่สุด พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ประชาชน 'ปลูกไม้มีค่า' ตามนโยบายของรัฐบาล นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้สร้างมูลค่าเพิ่มจากที่ดินทำกิน พัฒนาชุมชนให้เป็น 'ชุมชนไม้มีค่า' เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนแก่ครอบครัว
และชุมชน ช่วยลดปัญหาความยากจน/ความเหลื่อมล้ำทางสังคม
และใช้ประโยชน์จากไม้ยืนต้นที่ปลูกอย่างเต็มที่ เชื่อว่า
การดำเนินการดังกล่าวเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
เพราะท้ายที่สุดผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์โดยตรงก็คือคนในชุมชนนั่นเอง
นอกจากนี้ ยังได้มีการให้ความรู้ด้านต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ภายใต้โครงการสัมมนา 'ไม้ยืนต้น หลักประกันทางธุรกิจ' ซึ่งมีเกษตรกรและสมาชิกวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่เข้าร่วมงานกว่า
70 ราย รวมทั้ง เสริมสร้างองค์ความรู้ให้กับเกษตรกรในการทำปุ๋ยเกษตรอินทรีย์
เพื่อลดต้นทุนการผลิต เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประชาชน
ทั้งนี้ พบว่า ผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ มีความตื่นตัวและต้องการทราบรายละเอียดการนำไม้ยืนต้นที่ปลูกบนที่ดินกรรมสิทธิ์มาเป็นหลักประกันทางธุรกิจเพื่อขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
ซึ่งตรงตามเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของการลงพื้นที่ในครั้งนี้
ปัจจุบัน
มีทรัพย์สินหลายประเภทที่สามารถนำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ เช่น กิจการ
สิทธิเรียกร้อง สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ (เช่น สินค้า คงคลัง
และวัตถุดิบ) ฯลฯ และได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 5
พฤศจิกายน 2561 กำหนดให้ 'ไม้ยืนต้น' เป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันได้ ส่งผลดีทั้งต่อสถาบันการเงิน
ภาคธุรกิจ เกษตรกร และประชาชนที่ต้องการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อโดยมีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน
ข้อมูล ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2565
มีการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 146,282
ต้น มูลค่ารวมทั้งสิ้น 137 ล้านบาท แบ่งเป็น ธ.กรุงไทย จำนวน
23,000 ต้น มูลค่า 128
ล้านบาท ธ.ก.ส. จำนวน 318 ต้น มูลค่า 3 ล้านบาท สถาบันการเงินรายย่อย (พิโกไฟแนนซ์) จำนวน 122,964 ต้น มูลค่า 6 ล้านบาท รองอธิบดีฯ
กล่าวทิ้งท้าย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
กองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร. 0 2547 4944 e-Mail : Stro@dbd.go.th
สายด่วน 1570 www.dbd.go.th
#PoweredByDBD
**********************************************
ที่มา : กองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ
ฉบับที่ 117 / วันที่ 17 สิงหาคม 2565