กรมพัฒน์ฯ เดินหน้าเชิญชวนเกษตรกรใช้ประโยชน์จากกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ เล็งดึงวิสาหกิจชุมชนเป็นเครือข่าย...ให้ความรู้เชิงลึก...ใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ต่อยอดธุรกิจ พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจและประชาชน

กรมพัฒน์ฯ เดินหน้าเชิญชวนเกษตรกรใช้ประโยชน์จากกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ

เล็งดึงวิสาหกิจชุมชนเป็นเครือข่าย..ให้ความรู้เชิงลึก..ใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ต่อยอดธุรกิจ

พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจและประชาชน

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เดินหน้าต่อเนื่อง..นำคณะผู้บริหารและสื่อมวลชนลงพื้นที่ จ.ระยอง เชิญชวนเกษตรกรผู้ปลูกไม้ยืนต้นที่มีค่าใช้ประโยชน์จากกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ เล็งร่วมมือวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศเป็นภาคีเครือข่ายให้ความรู้เชิงลึกแก่สมาชิกเกี่ยวกับกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจและใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อต่อยอดธุรกิจ ขณะที่การให้บริการ..ปรับวิธีการทำงาน นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจและประชาชน มั่นใจ!! เกิดประโยชน์และเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน

นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า "วันนี้ (วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565) ได้นำคณะผู้บริหารกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและสื่อมวลชนลงพื้นที่ จ.ระยอง เพื่อขับเคลื่อนและเชิญชวนเกษตรกรผู้ปลูกไม้ยืนต้นที่มีค่าเร่งใช้ประโยชน์จากกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ เบื้องต้นกรมฯได้กำหนดแผนการเผยแพร่ความรู้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจผ่านวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศในลักษณะภาคีเครือข่ายเพื่อสร้างการรับรู้และให้ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจแก่ผู้นำ/ผู้บริหารวิสาหกิจชุมชน ก่อนที่จะนำข้อมูลที่ได้รับไปถ่ายทอดแก่สมาชิกภายในวิสาหกิจชุมชนให้ได้ทราบถึงรายละเอียด และนำไม้ยืนต้นที่มีค่าที่ปลูกบนที่ดินกรรมสิทธิ์มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อลงทุนหรือต่อยอดธุรกิจ รวมทั้ง จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อทราบถึงปัญหา อุปสรรค ข้อจำกัด จากการใช้ประโยชน์จากกฎหมายฯ โดยกรมฯ พร้อมนำข้อมูลที่ได้รับมาปรับแก้ หาทางออก และประยุกต์ใช้เพื่อให้กฎหมายฯ มีความคล่องตัว เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกร ภาคธุรกิจ ประชาชน และพร้อมที่จะเป็นกระบอกเสียงบอกต่อถึงประโยชน์ที่ได้รับสู่ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือคนรู้จักเพื่อใช้ประโยชน์จากกฎหมายฯ ต่อไป

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ ได้เดินทางไปที่วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรผลิตไม้กฤษณา จ.ระยอง ซึ่งเป็นวิสาหกิจชุมชนนำร่องที่กรมฯ ต้องการผลักดันให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกเร่งใช้ประโยชน์จากกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ โดยวิสาหกิจชุมชนมีสมาชิกอยู่ประมาณ 135 คน ต้นไม้ที่ปลูก คือ กฤษณา สัก มะค่า ฯลฯ และไม้ผล คือ ทุเรียน เงาะ มังคุด สละ ฯลฯ ถือเป็นไม้มีค่าที่สามารถนำเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ ซึ่งจากการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทำให้ทราบว่า เกษตรกรและประชาชนให้ความสนใจปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเองมากขึ้น หลังจากทราบว่า สามารถนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันการขอสินเชื่อเพื่อต่อยอดธุรกิจหรือใช้สอยในชีวิตประจำวัน โดยไม่จำเป็นต้องตัดต้นไม้ และเกษตรกรที่เป็นสมาชิกวิสาหกิจชุมชนฯ ก็พร้อมที่จะนำไม้ยืนต้นที่มีค่าที่ปลูกบนที่ดินกรรมสิทธิ์มาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ โดยขอทราบถึงรายละเอียดของกฎหมายฯ อย่างชัดเจน และหากต้องการเงินทุนเพื่อลงทุนเพิ่มเติมก็พร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากกฎหมายฯ โดยกรมฯ ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าเพื่อสร้างการรับรู้และให้รายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายไว้แล้ว หากวิสาหกิจชุมชนหรือกลุ่มเกษตรกรต้องการทราบรายละเอียดสามารถติดต่อที่กองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ กรมฯ พร้อมให้ความรู้และรายละเอียดอย่างเต็มที่

อธิบดีฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กรมฯ ได้ปรับวิธีการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจและประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพระบบจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ เพื่อให้บริการประชาชนแบบเรียลไทม์ เช่น พัฒนาระบบการยืนยันตัวตนของผู้รับหลักประกันทั่วประเทศ จะต้องมายืนยันตัวตนที่กองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในอนาคตสามารถยืนยันตัวตนเพื่อขอรับบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่าน (Username and Password) ของผู้รับหลักประกัน ผ่านระบบได้ และพัฒนาระบบการแจ้งความยินยอมเป็นผู้บังคับหลักประกัน ซึ่งจะช่วยป้องกันการแอบอ้างและคุ้มครองสิทธิแก่ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกัน เป็นต้น ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์และเห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน

ปัจจุบัน มีทรัพย์สินหลายประเภทที่สามารถนำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ เช่น กิจการ สิทธิเรียกร้อง สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ (เช่น สินค้า คงคลัง และวัตถุดิบ) อสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ให้หลักประกันประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ทรัพย์สินทางปัญญา และล่าสุดได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่
๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ กำหนดให้ "ไม้ยืนต้น" เป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันได้

ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม้ยืนต้นที่ปลูกในที่ดินกรรมสิทธิ์จะไม่ได้รับการประเมินในการให้สินเชื่อ จะประเมินเฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินเท่านั้น แต่หลังจากที่กฎกระทรวงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทำให้สถาบันการเงินและผู้รับหลักประกันอื่นสามารถเพิ่มประเภททรัพย์สินในการให้สินเชื่อมากขึ้น ส่งผลดีทั้งต่อสถาบันการเงิน ภาคธุรกิจ เกษตรกร และประชาชนที่ต้องการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อโดยมีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน ปัจจุบันมีต้นไม้ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจมากมาย อาทิ ต้นกฤษณา ต้นสัก และต้นยาง เป็นต้น

         ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 มีผู้รับหลักประกันจำนวน 361 ราย และสถิติการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ มีผู้มาขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 685,568 คำขอ จำนวนเงินที่ใช้ทรัพย์สินเป็นหลักประกัน รวมทั้งสิ้น 12,993,562 ล้านบาท โดยสิทธิเรียกร้องยังคงเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันมากที่สุด ร้อยละ 77.93 (มูลค่า 10,125,750 ล้านบาท) รองลงมา สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ได้แก่ สินค้าคงคลัง วัตถุดิบ เครื่องจักร รถยนต์ เรือ เครื่องบิน สัตว์พาหนะ ร้อยละ 22.04 (มูลค่า 2,863,999 ล้านบาท) ทรัพย์สินทางปัญญา ร้อยละ 0.02 (มูลค่า 1,991 ล้านบาท) กิจการ ร้อยละ 0.01 (มูลค่า 1,287 ล้านบาท) อสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ร้อยละ 0.003 (มูลค่า 398 ล้านบาท) และ ไม้ยืนต้น ร้อยละ 0.001 (มูลค่า 137 ล้านบาท) อธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้าย  

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร. 0 2547 4944 e-Mail : Stro@dbd.go.th สายด่วน 1570 www.dbd.go.th 

#PoweredByDBD

******************************************************

ที่มา : กองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ                                                        ฉบับที่ 81 / วันที่ 27 พฤษภาคม 2565