พาณิชย์โชว์ความสำเร็จจับมือสตาร์ทอัพไทย ในแคมเปญ "DBD ชวน ฟิน กิน ไทย ซีเล็คท์" ดันร้าน Thai SELECT ในพื้นที่ควบคุมพิเศษเป็นที่รู้จักผ่านออนไลน์ ปั้นยอดขายโตช่วงวิกฤตโควิด
พาณิชย์โชว์ความสำเร็จจับมือสตาร์ทอัพไทย ในแคมเปญ "DBD ชวน ฟิน กิน ไทย ซีเล็คท์"
ดันร้าน Thai SELECT ในพื้นที่ควบคุมพิเศษเป็นที่รู้จักผ่านออนไลน์ ปั้นยอดขายโตช่วงวิกฤตโควิด
กระทรวงพาณิชย์ ปลื้ม...ความสำเร็จกิจกรรม "DBD ชวน ฟิน กิน ไทย ซีเล็คท์" สร้างการรับรู้และยอดขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ให้แก่ร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ในเขตพื้นที่เสี่ยงและได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จำนวน 70 ร้าน พร้อมขอบคุณในความร่วมมือจากพันธมิตรสตาร์ทอัพที่ช่วยกันสนับสนุนให้ธุรกิจร้านอาหารได้เดินหน้าต่อ จัดกิจกรรมทั้งสิ้นกว่า 45 วัน มีผู้สนใจเข้าติดตามเกือบล้านวิว สร้างยอดออเดอร์ถึง 4,000 ครั้ง และยอดขายพุ่งกว่าร้อยละ 10 เล็งขยายกิจกรรมไปร้านอาหาร Thai SELECT ทั่วประเทศ สร้างการรับรู้ให้เป็นที่รู้จัก ร้านอาหารได้โอกาสปรับตัว และผู้บริโภคได้รับประทานอาหารระดับพรีเมียมในราคาย่อมเยา
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการแถลงข่าวความสำเร็จในกิจกรรม "DBD ชวน ฟิน กิน ไทย ซีเล็คท์" (วันศุกร์ที่ 17 กันยายน 2564 ณ ร้านอาหารข้าว) ว่า "รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสินิตย์ เลิศไกร) ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้านำร่องเร่งช่วยเหลือร้านอาหารไทยที่อยู่ภายใต้โครงการ Thai SELECT จำนวน 70 ร้านในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงและได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นวงกว้าง ซึ่งเริ่มกิจกรรมฯ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 และจะสิ้นสุดในวันที่ 15 กันยายน 2564 รวมทั้งสิ้น 45 วัน ทั้งนี้ ต้องขอบคุณสตาร์ทอัพและแพลตฟอร์มสั่งอาหารชั้นนำของไทยที่ได้ร่วมมือกันเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ ได้แก่ โรบินฮู้ด (Robinhood) แอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรีสัญชาติไทย และฮังกรี้ ฮับ (Hungry Hub) แพลตฟอร์มจองร้านอาหาร โดยได้ออกโปรโมชั่นส่วนลดกระตุ้นการตลาดและการบริโภคของประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งได้ร่วมกับเพจ Sale here เว็บไซต์ปันโปร และเว็บไซต์ Kollective ตลอดจนสื่ออินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังสายอาหารหลายท่านก็ได้เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหาร Thai SELECT ให้สามารถผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้"
อธิบดี กล่าวต่อว่า "จากผลการจัดกิจกรรมฯ ที่ผ่านมาพบว่า ได้รับกระแสตอบรับในการสั่งอาหาร จากผู้บริโภคเป็นอย่างดี และร้านอาหารมียอดขายภาพรวมเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีจำนวนการสั่งซื้อจากผู้บริโภคมากถึง 4,000 ครั้ง และสร้างยอดขายให้แก่ร้านอาหารได้เพิ่มขึ้นคิดเป็น 10% ของยอดขายที่เพิ่มขึ้น มียอดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อรายการตั้งแต่ 450-1,600 บาท รวมทั้งสตาร์ทอัพยังช่วยประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ร้านอาหาร Thai SELECT ทั้ง 70 ร้านที่ร่วมกิจกรรมให้เป็นที่รู้จักแก่ผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น โดยพบว่า มีผู้เข้ารับ ชมคลิปร้านอาหาร Thai SELECT ผ่าน influencer มากกว่า 4 แสนวิว และรับรู้ผ่านสื่อมวลชนประเภทต่างๆ ถึง 8 ล้านวิว ซึ่งการรับรู้ทั้งหมดนี้จะสร้างวงจรการสั่งซื้ออาหารได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มากไปกว่านั้นยังช่วยส่งเสริมให้ร้านอาหารขนาดเล็กเข้าถึงโอกาสในการปรับตัวนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำตลาดออนไลน์ จากความสำเร็จดังกล่าว กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เตรียมเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อออกมาตรการช่วยเหลือระยะยาวซึ่งจะขยายไปสู่ร้านอาหารทั่วประเทศให้มียอดขายเพิ่มมากขึ้นและสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ด้วยความเข้มแข็ง ควบคู่ไปกับการสร้างความเชื่อมั่นให้ร้านอาหารไทย ปัจจุบันมีธุรกิจร้านอาหารไทยที่ได้รับมาตรฐานตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ที่ออกโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจำนวนรวม 940 ร้าน ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร 238 ร้าน ภาคเหนือ 154 ร้าน ภาคกลาง 238 ร้าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 115 ร้าน ภาคใต้ 143 ร้าน ภาคตะวันออก 52 ร้าน"
"แม้ว่าขณะนี้การดำเนินธุรกิจของร้านอาหารในพื้นที่เสี่ยงฯ จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการล๊อคดาวน์ของรัฐบาลที่จำกัดการนั่งรับประทานอาหารที่ร้าน ซึ่งผู้บริโภคสามารถกลับมาใช้บริการภายในร้านอาหารได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ทำให้ธุรกิจร้านอาหารค่อยๆ กลับมาคึกคักมากขึ้น โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ตลอดจนสร้างการรับรู้ให้ร้านอาหาร Thai SELECT เป็นที่รู้จักเพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลงในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2564 ธุรกิจร้านอาหารจะเริ่มทยอยฟื้นตัวเนื่องจากประชาชนมีความมั่นใจและกลับมาใช้บริการอีกครั้ง" อธิบดี กล่าวทิ้งท้าย
#PoweredByDBD
*****************************************
ที่มา : กองธุรกิจบริการ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ฉบับที่ 152 / วันที่ 17 กันยายน 2564