พาณิชย์ ปลื้ม! จุรินทร์นำขยับ มกรา64 ธุรกิจตั้งใหม่ 7,283 รายมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท
พาณิชย์ ปลื้ม! จุรินทร์นำขยับ มกรา64 ธุรกิจตั้งใหม่ 7,283 รายมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท
มัลลิกา เผย "พาณิชย์ขยับ" มกราคม 64 จดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่ 7,283 รายมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ธุรกิจด้านดิจิทัลไปได้ดี ส่วนสถานะปัจจุบันธุรกิจเดินหน้ากว่า 775,253 ราย มูลค่าทุน 19.22 ล้านล้านบาท
12 มีนาคม 2564
นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ติดตามการพัฒนาธุรกิจการค้าตามนโยบายนั้น จากรายงานกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เกี่ยวกับการจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือนมกราคม 2564 จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่มีผู้ประกอบการธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศในเดือนมกราคม 2564 จำนวน 7,283 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 30,930 ล้านบาท ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรกคือ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไปจำนวน 634 รายคิดเป็น 9% รองลงมาคือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จำนวน 299 รายคิดเป็น 4% และอันดับ 3 คือธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้าจำนวน 192 รายคิดเป็น 3% ตามลำดับ
ส่วนธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนมกราคม 2564 นั้นมี 1,105 รายโดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 7,910 ล้านบาทซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ถือว่าการจดทะเบียนประกอบธุรกิจใหม่มีสัดส่วนที่มากกว่าอยู่มาก โดยในส่วนธุรกิจที่เลิกส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป รองลงมาคืออสังหาริมทรัพย์และธุรกิจด้านภัตตาคารร้านอาหาร โดยธุรกิจเลิกประกอบกิจการนั้นแบ่งตามช่วงทุนมากที่สุดคือทุนไม่เกิน 1 ล้านบาทจำนวน 69% รองลงมาคือช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาทจำนวน 26% และช่วงทุน 5-100 ล้านบาทจำนวน 3.7% ส่วนช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาทมีจำนวน 0.5% ตามลำดับ
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า สำหรับธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ ณ ข้อมูลเดือนมกราคม 2564 จำนวน 775,253 ราย มูลค่าทุน 19.22 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจำนวนคิดเป็น 24% และบริษัทจำกัด 75.5% และบริษัทมหาชนจำกัดจำนวน 0.17% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามแนวโน้มธุรกิจจากสถานการณ์โควิดส่งผลให้ผู้ใช้บริการเปลี่ยนพฤติกรรมมาทำธุรกรรมและกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์มากยิ่งขึ้นรวมถึงแนวโน้มในการบังคับใช้พระราชบัญญัติข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562 ทั้งฉบับดังนั้นในปี 2564 ธุรกิจต่างๆจึงต้องจัดการระบบเพื่อรองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของผู้ใช้บริการ และต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าและป้องกันการคุกคามทางคอมพิวเตอร์ดังนั้นธุรกิจบริหารจัดการโครงสร้างและระบบคอมพิวเตอร์จึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดูจากการจัดตั้งและมูลค่าทุนจดทะเบียนของธุรกิจบริหารจัดการโครงสร้างและระบบคอมพิวเตอร์จะพบว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 4 ปีคือ 2559 ถึง 2562 แม้ว่าในปี 2563 จะมีการจดตั้งลดลง 11% และมีมูลค่าทุนจดทะเบียนลดลง 17% เมื่อเทียบกับปี2562 แต่ในส่วนของผลประกอบการนั้นจะเห็นว่าธุรกิจเติบโต เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปี 2561 ถึง 40% และธุรกิจมีผลกำไรในปี 2562 เพิ่มขึ้นจากปี 2561 คิดเป็น 3.7% และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3% ซึ่งเมื่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารายงานจากนิติบุคคลที่ส่งงบการเงินจะพบว่าส่วนใหญ่เป็นนิติบุคคลขนาดเล็กถึง 99% จึงถือเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการในการเข้าสู่ตลาดธุรกิจบริหารจัดการโครงสร้างและระบบคอมพิวเตอร์ ดังนั้นการที่หลายฝ่ายสะท้อนความคิดเห็นว่าควรจะได้มีการส่งเสริมสนับสนุนแหล่งเงินทุนเพื่อกิจการนั้นเป็นเรื่องที่ดีทั้งนี้เพื่อนำสู่ธุรกิจและขยายธุรกิจด้านนี้
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็มุ่งเน้นสนับสนุนให้เกิดเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น ดำเนินโครงการที่ใช้ดิจิทัลเป็นส่วนประกอบสำคัญเพื่อให้ถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงรวมถึงการดำเนินธุรกิจ ธุรกรรมออนไลน์ ทั้งการยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ National Dgital ID และการใช้ Blockchain ซึ่งการที่รัฐบาลมุ่งเน้นนโยบายด้านนี้ย่อมทำให้เกิดการเติบโตธุรกิจด้านนี้ โอกาสอันดีในการเข้าสู่ธุรกิจนี้แต่ก็ต้องคำนึงถึงการลงทุนอย่างต่อเนื่องและอุปกรณ์เทคโนโลยีพัฒนารวดเร็วตีองบริหารจัดการให้ทันและธุรกิจมีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะทางด้านคอมพิวเตอร์ก็จะส่งผลต่ออัตราการจ้างงานและการรักษาบุคลากรให้กับองค์กร เป็นต้น " ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว