รมช.พาณิชย์ ให้แนวคิด..ใช้แฟรนไชส์สร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจประเทศแบบคู่ขนาน

รมช.พาณิชย์ ให้แนวคิด..ใช้แฟรนไชส์สร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจประเทศแบบคู่ขนาน ภาคธุรกิจจะช่วยภาคประชาชนได้..ภาครัฐต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ธุรกิจมีความเข้มแข็ง-มั่นคงก่อน
 
          รมช.พาณิชย์ ให้แนวคิดกรมพัฒนฯ ใช้โมเดลแฟรนไชส์สร้างความเข้มแข็งแบบคู่ขนาน "สร้างความแข็งแกร่ง...สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้ประเทศ พร้อมสร้างงาน-สร้างอาชีพ-สร้างรายได้ให้ประชาชน" สั่งการเร่งเตรียมแผนสร้างความเข้มแข็งธุรกิจแฟรนไชส์ทันที...หลังโรคระบาดโควิด-19 บรรเทาเบาบาง เชื่อ!! ภาคธุรกิจจะช่วยเหลือภาคประชาชนได้ ภาครัฐต้องส่งเสริมสนับสนุนภาคธุรกิจให้มีความเข้มแข็ง-มั่นคงก่อน ถึงจะช่วยประชาชนให้ยืนหยัดมั่งคงในอาชีพ..และชีวิตได้
 
          นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า "ได้ให้แนวคิดการทำงานแก่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเรื่องการสร้างความเข้มแข็งแก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจแฟรนไชส์ที่กระทรวงพาณิชย์จะใช้เป็นแผนฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยให้ใช้ธุรกิจแฟรนไชส์สร้างความเข้มแข็งแบบคู่ขนาน คือ สร้างความมั่นคงแก่ประชาชนให้มีงาน มีอาชีพ มีรายได้ พร้อมทั้ง สร้างความแข็งแกร่ง..สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้ประเทศอีกทางหนึ่ง แต่ทั้งนี้การที่ภาคธุรกิจจะช่วยเหลือภาคประชาชนได้ ภาคธุรกิจจำเป็นต้องมีความเข้มแข็งและมั่นคงในธุรกิจก่อน โดยมีภาครัฐให้การส่งเสริมสนับสนุนอย่างเต็มที่ เมื่อธุรกิจมีความพร้อมและแข็งแกร่งแล้ว ก็จะสามารถช่วยเหลือภาคประชาชนให้มีอาชีพและชีวิตที่ดีอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน"
 
          "เบื้องต้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เสนอแผนสร้างความเข้มแข็งธุรกิจแฟรนไชส์ โดยการนำธุรกิจแฟรนไชส์ที่อยู่ในการส่งเสริมของกระทรวงพาณิชย์จำนวน 60 ธุรกิจ เข้าร่วมงานแสดงสินค้าและจำหน่ายสินค้าในประเทศ รวมทั้งเปิดพื้นที่ให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์แก่นักลงทุนและผู้สนใจ หลังจากที่โรคระบาดโควิด-19 บรรเทาเบาบางลง..ทันที และใช้รูปแบบการนำเสนอธุรกิจ/การเจรจาธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นตัวกลางประสานระหว่างภาคธุรกิจและนักลงทุน ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ธุรกิจแฟรนไชส์ สร้างทักษะ/ประสบการณ์ในการนำเสนอธุรกิจ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ธุรกิจแฟรนไชส์ได้มีเวทีพบปะนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพื่อเจรจาธุรกิจและเลือกลงทุนในระบบแฟรนไชส์ ส่งผลให้ธุรกิจมีความเข้มแข็งและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศ"
 
          รมช.พณ. กล่าวต่อว่า "ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาศักยภาพด้านการบริหารจัดการธุรกิจให้มีมาตรฐานระดับสากล และเสริมสร้างความรู้ด้านการค้าการลงทุนระหว่างประเทศเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ตลาดต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ธุรกิจจากตลาดในประเทศ (Local) ไปสู่ตลาดโลก (Global) ในจำนวนธุรกิจที่กรมฯ ให้การส่งเสริมและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง คือ ธุรกิจแฟรนไชส์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีตราสินค้า หรือ Brand อยู่แล้ว เป็นธุรกิจสำเร็จรูป ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก มีขนาดการลงทุนให้เลือกหลายขนาดตามความเหมาะสมของแต่ละคน และสามารถทำควบคู่กับงานอื่นได้ แฟรนไชส์จึงเป็นธุรกิจที่นักลงทุนทั้งรายเก่าและรายใหม่ให้ความสนใจเป็นลำดับต้นๆ เพราะสามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้ง่าย รวดเร็ว ไม่ยุ่งยาก ที่สำคัญมีประเภทแฟรนไชส์ให้เลือกได้หลากหลายในราคาที่สามารถจับต้องได้"
 
          "ธุรกิจแฟรนไชส์ หรือ โมเดลแฟรนไชส์ เป็นสาขาธุรกิจที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมากให้กับประเทศ และมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 มูลค่าทางเศรษฐกิจของธุรกิจแฟรนไชส์มีมากกว่า 2 แสนล้านบาท มีจำนวนสาขาธุรกิจรวมกันมากกว่า 1 แสนแห่งทั่วประเทศ โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ร้อยละ 15 ต่อปี เมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศซึ่งมีอัตราเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 2 - 5 ต่อปี ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในช่วงที่โรคโควิด-19 กำลังระบาด ธุรกิจแฟรนไชส์ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ดังนั้น การที่ภาครัฐให้การส่งเสริมทั้งการผลักดันให้ผู้ที่สนใจจะลงทุนในระบบแฟรนไชส์ หรือนำระบบแฟรนไชส์ไปสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ควบคู่กับการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ หรือผู้ช่วยแฟรนไชส์ให้เข้มแข็ง จะทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์กลับมาแข็งแกร่ง ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้มากขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน" รมช.พณ.กล่าวทิ้งท้าย
 
#วีรศักดิ์ดูแล #WeerasakTakeCare
 
********************************************
 
ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ                 ฉบับที่ 108 / วันที่ 8 พฤษภาคม 2563