กรมพัฒน์ฯ จัดอบรมเติมความรู้ให้ผู้บังคับหลักประกัน ประเมินมูลค่าต้นไม้เป็น เร่งเดินหน้าช่องทางเพิ่มแหล่งเงินทุนให้ธุรกิจ

กรมพัฒน์ฯ จัดอบรมเติมความรู้ให้ผู้บังคับหลักประกัน ประเมินมูลค่าต้นไม้เป็น
เร่งเดินหน้าช่องทางเพิ่มแหล่งเงินทุนให้ธุรกิจ
 
                  กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จัดอบรมเรื่อง "ต้นไม้มีมูลค่า ประเมินราคาอย่างไร" ให้แก่ผู้บังคับหลักประกัน และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจถึงการใช้ไม้ยืนต้นเพื่อนำมาเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อจากสถาบันทางการเงิน ตามแนวทางกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ พร้อมมีความรู้ในการตีมูลค่าไม้แต่ละประเภท อายุ และขนาด ช่วยขยายโอกาสให้ธุรกิจไทยได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้ใช้ทรัพยากรของตนเองได้เต็มที่
                  นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ในวันนี้ (30 พฤศจิกายน 2561) กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้จัดโครงการอบรมพัฒนาผู้บังคับหลักประกัน เรื่อง "ต้นไม้มีมูลค่า ประเมินราคาอย่างไร" ณ ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยมีผู้บังคับหลักประกันที่ขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมป่าไม้ สมาคมธนาคาร ผู้แทนจากสหกรณ์สวนป่า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME BANK) ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านกฎหมาย และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมอบรม รวมทั้งสิ้นกว่า 100 ราย
                  อธิบดี กล่าวต่อว่า "การอบรมในครั้งนี้มุ่งเน้นการสร้างความรู้ใน 2 ประเด็นสำคัญคือ 1) ต้นไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น การปลูกต้นไม้ชนิดต่างๆ ตามลักษณะภูมิศาสตร์ การกำหนดชนิด อายุ การจัดกลุ่มประเภทต้นไม้เพื่อกำหนดราคาตามคุณค่าทางเศรษฐกิจและการนำไปใช้ประโยชน์ บรรยายโดย ผศ.ดร.สาพิศ ดิลกสัมพันธ์ หัวหน้าภาควิชาวนวัฒนวิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ 2) แนวทางการประเมินมูลค่าต้นไม้เศรษฐกิจตามมาตรฐานสากล สำหรับการขอสินเชื่อจากสถาบันทางการเงิน บรรยายโดย อาจารย์ไพรัช มณฑาพันธุ์ นายกสมาคมนักประเมินราคาอิสระไทย"
             "สำหรับผลที่คาดว่าจะได้รับจากการอบรมครั้งนี้ผู้บังคับหลักประกันและผู้ที่เข้ารับการอบรมจะได้เพิ่มเติมองค์ความรู้ใหม่ในเรื่องการนำไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ เกิดความรู้เข้าใจถึง แนวทางการประเมินราคาไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ และใช้ประโยชน์จากกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจให้มากขึ้น มากไปกว่านั้นยังสามารถต่อยอดนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่แก่ผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ที่กำลังมองหาแหล่งเงินทุนช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและประชาชนหันมาปลูกต้นไม้อีกด้วย"
                 "กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจจะเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถนำทรัพย์สินทั้งในรูปแบบสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์มาใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อเพื่อการดำเนินธุรกิจโดยยังใช้ทรัพย์สินนั้นประกอบธุรกิจต่อไปได้พร้อมกับมีเงินทุนในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างคล่องตัว ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มเติมอสังหาริมทรัพย์ประเภท "ไม้ยืนต้น" ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการนำมาขอสินเชื่อได้ ประกอบกับเป็นการส่งเสริมให้เกิดการสร้างผืนป่าในประเทศไทยในทางอ้อมด้วย" อธิบดี กล่าวในท้ายที่สุด
 
********************************
ที่มา : กองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ                                                        ฉบับที่ 22 / วันที่ 30 พฤศจิกายน 2561