พาณิชย์' เตรียมนำแฟรนไชส์ 100 แบรนด์ สร้างอาชีพสร้างรายได้ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

พาณิชย์' เตรียมนำแฟรนไชส์ 100 แบรนด์ สร้างอาชีพสร้างรายได้ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
พร้อมประสานปั้มน้ำมันบางจาก เทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี จัดพื้นที่ให้ค้าขาย
คนโคราชเตรียมตัวให้พร้อม คิ๊กออฟจังหวัดแรก...นครราชสีมา ปลายเดือน มิ.ย. 61 นี้
               
                เริ่มแล้ว...แฟรนไชส์สร้างอาชีพ พาณิชย์' เตรียมนำแฟรนไชส์ 100 แบรนด์ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมประสานปั้มน้ำมันบางจาก เทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี จัดพื้นที่ให้ค้าขาย สำหรับผู้ที่ยังไม่มีเงินทุน...ธ.ก.ส. ออมสิน จัดให้...เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่อนสบายๆ ไม่กดดัน ...ปลายเดือนมิถุนายน '61 นี้ คนโคราชเตรียมตัวเป็นเถ้าแก่ให้พร้อม...คิ๊กออฟนำทัพแฟรนไชส์ลงนครราชสีมาเป็นจังหวัดแรก คาดทั้งโครงการฯ มีเงินสะพัดและกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้กว่า 2,000 ล้านบาท
                นางกุลณี อิศดิศัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า "จากนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) ที่ต้องการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ว่างงาน ภายใต้โครงการ "แฟรนไชส์สร้างอาชีพ" เพื่อสร้างอาชีพสร้างรายได้อย่างยั่งยืนและลดการพึ่งพาสวัสดิการของรัฐในอนาคต ล่าสุดได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งนำแฟรนไชส์ที่มีเงินลงทุนไม่สูงลงพื้นที่ในส่วนภูมิภาคให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ที่สนใจเลือกนำไปประกอบเป็นอาชีพ"
                "เบื้องต้น กรมฯ ได้คัดเลือกจังหวัดที่มีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวนมาก และเป็นจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองจำนวน 20 จังหวัด เพื่อนำร่องนำธุรกิจแฟรนไชส์จำนวน 100 แบรนด์ที่ผ่านการพัฒนาจากกรมฯ และมีขนาดการลงทุนไม่เกิน 50,000 บาท ลงพื้นที่ที่ได้คัดเลือกไว้ ประกอบด้วยจังหวัด นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด สกลนคร อุดรธานี บุรีรัมย์ สุรินทร์ เชียงราย ลำปาง กำแพงเพชร พิษณุโลก ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม กาญจนบุรี ระยอง นครศรีธรรมราช และสงขลา โดยนครราชสีมาเป็นจังหวัดแรกที่จะดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว ระหว่างวันที่ 22 - 25 มิถุนายน 2561 นี้"
                 อธิบดีกล่าวเพิ่มเติมว่า "เงินลงทุนสำหรับการเลือกซื้อแฟรนไชส์ในโครงการฯ นี้ คือ ตั้งแต่ 10,000 บาท และสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท ทำให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือผู้ที่สนใจลงทุนในระบบแฟรนไชส์แต่มีเงินไม่มากก็สามารถเลือกลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการได้ ขณะเดียวกัน กรมฯ ได้ประสานงานกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสินร่วมให้สินเชื่อแก่ผู้ที่เข้าร่วมโครงการฯ ด้วย โดยจะคิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราพิเศษ ผู้กู้สามารถชำระคืนเงินต้นได้แบบสบายๆ ไม่กดดัน"
                 "สำหรับผู้ที่สนใจเลือกแฟรนไชส์ไปประกอบอาชีพแล้ว แต่ยังไม่มีทำเลหรือสถานที่ขายสินค้า กรมฯ ได้ประสานงานกับปั้มน้ำมันบางจาก เทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี ในการจัดหาพื้นที่ขายสินค้าให้ รายละเอียดการจัดสรรพื้นที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมของสินค้าแต่ละประเภท ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่เลือกซื้อแฟรนไชส์ และมั่นใจว่าแฟรนไชส์ที่ได้เลือกลงทุนจะมีสถานที่จำหน่ายอย่างแน่นอน"
                 "ทั้งนี้ ก่อนการเปิดตัวโครงการ "แฟรนไชส์สร้างอาชีพ" อย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561 ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรมฯ จะได้เชิญแฟรนไชส์จำนวน 100 แบรนด์ ที่เข้าร่วมโครงการฯ มาซักซ้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ พร้อมทั้งให้ความรู้ถึงกลยุทธ์การขยายธุรกิจและการดูแลผู้มีรายได้น้อยที่ลงทุนในแฟรนไชส์ และจะรับสมัครผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีรายได้น้อย ผู้ว่างงาน เข้าร่วมสัมมนาสร้างอาชีพด้วยแฟรนไชส์ ระหว่างวันที่ 13 - 14 มิถุนายน 2561 นี้ รวมทั้ง จะมีการออกบูธแสดงธุรกิจ จำนวนกว่า 100 บูธ เพื่อให้ผู้สนใจเข้าร่วมเลือกซื้อธุรกิจและสินค้าจากเจ้าของแฟรนไชส์โดยตรงในราคาสุดพิเศษอีกด้วย ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์ กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร 0 2547 5953 สายด่วนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 1570 หรือ www.dbd.go.th"
                  "โครงการ "แฟรนไชส์สร้างอาชีพ" ที่จัดขึ้นนี้ จะช่วยให้ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ว่างงานมีอาชีพเป็นของตนเอง สามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคง และเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยคาดว่าหลังเสร็จสิ้นโครงการจะสร้างอาชีพได้กว่า 20,000 ราย และมีเงินสะพัดพร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้กว่า 2,000 ล้านบาท" อธิบดีกล่าวทิ้งท้าย
 
*************************************************
ที่มา : กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ                                                                                        ฉบับที่ 111 / วันที่ 8 มิถุนายน 2561