พาณิชย์' จัดงาน "วิสาหกิจเพื่อสังคมกับบทบาทที่เหนือกว่าการเป็นผู้ให้"

พาณิชย์' จัดงาน "วิสาหกิจเพื่อสังคมกับบทบาทที่เหนือกว่าการเป็นผู้ให้"
พร้อมส่งเสริมให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคล ก่อนพัฒนาและขยายธุรกิจนำผลกำไรกลับคืนสู่ชุมชน
 
                 พาณิชย์' ผนึกกำลังหน่วยงานพันธมิตร จัดงาน "วิสาหกิจเพื่อสังคมกับบทบาทที่เหนือกว่าการเป็นผู้ให้" สะท้อนมุมมองบทบาทและความต้องการของวิสาหกิจเพื่อสังคมของไทยทั้งระบบ ใช้เป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาสังคมที่เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน พร้อมส่งเสริมให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคล ก่อนพัฒนาและขยายธุรกิจนำผลกำไรกลับคืนสู่ชุมชน เชื่อ!! วิสาหกิจเพื่อสังคมส่งผลให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนระยะยาว
                 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า "ในวันนี้ (วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560) กระทรวงพาณิชย์ได้ผนึกกำลังร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน จัดงาน "วิสาหกิจเพื่อสังคมกับบทบาทที่เหนือกว่าการเป็นผู้ให้" (A Social Enterprise beyond Social Giver) เพื่อผลักดันและพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจเพื่อสังคมในการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสะท้อนมุมมอง บทบาท และความต้องการของวิสาหกิจเพื่อสังคมของไทยทั้งระบบ"
                  "นโยบายสำคัญของรัฐบาลคือการมุ่งสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ ผ่านการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน (Strength from Within) ด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) และสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกิจการที่เป็นประโยชน์แก่คนในชุมชน หรือ วิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise : SE) เพื่อผลิตสินค้าหรือบริการ ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น โดยไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อสร้างผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสังคมและพัฒนาชุมชนที่เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจนในระยะสั้น เช่น การจ้างงานผู้พิการ หรือ ผู้ผ่านการต้องขัง เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความสุขของคนในชุมนให้มีมากขึ้น รวมทั้งช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมให้ลดน้อยลงด้วย"
                   "นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังส่งเสริมให้วิสาหกิจเพื่อสังคมดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลในรูปแบบของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเพื่อให้เกิดการคล่องตัวในการบริหารงาน และง่ายต่อการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลในการประกอบธุรกิจ โดยมีเป้าหมายดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ การสนับสนุนด้านการจดทะเบียนนิติบุคคล อำนวยความสะดวกแก่วิสาหกิจเพื่อสังคมและการให้ความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของการเป็นนิติบุคคล เนื่องจากนิติบุคคลเป็นคุณสมบัติที่แสดงถึงความมีตัวตนมีสถานะที่ได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐหรือเอกชน รวมทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกรมสรรพากร ซึ่งต้องมีวัตถุประสงค์ตามที่กรมสรรพากรกำหนดและต้องมีคำว่า "วิสาหกิจเพื่อสังคม" กำกับในชื่อนิติบุคคลด้วย รวมถึงการเชื่อมโยงให้ภาคเอกชน เช่น สมาชิกสมาคมการค้าเข้าร่วมสนับสนุนการดำเนินกิจการของวิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาให้แก่ประเทศชาติอย่างเป็นระบบ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้องค์กรเป็นที่ยอมรับทั้งตลาดภายในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น"
                    "ด้านการส่งเสริมและพัฒนา กระทรวงฯ ได้ดำเนินการสำรวจความต้องการของวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมจากสำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (สกส.) จำนวน 101 ราย พบว่าส่วนใหญ่ต้องการได้รับการสนับสนุนส่งเสริม 7 ประการ ประกอบด้วย 1) การผสานแนวคิดและความรู้ด้านนวัตกรรมทางสังคมในระบบการศึกษา 2) การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของผู้ประกอบการเพื่อสังคม เช่น ด้านการบริการจัดการ ด้านการตลาด ด้านการเงินและบัญชี เป็นต้น 3) ระบบการจดทะเบียนและกฎระเบียบของกิจการเพื่อสังคม 4) ระบบการสื่อสารส่งเสริมช่องทางการตลาด 5) ระบบการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการจากกิจการเพื่อสังคม 6) ระบบการลดหย่อนภาษีเพื่อการลงทุนในวิสาหกิจเพื่อสังคม และ 7) สนามการลงทุนเพื่อสังคม ส่วนการขยายช่องทางการตลาดและการกระจายสินค้าของวิสาหกิจเพื่อสังคมจะดำเนินการผ่านเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจและการจับคู่พันธมิตรทางธุรกิจ โดยสนับสนุนให้วิสาหกิจเพื่อสังคมเข้าร่วมออกบูธประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการในงานต่างๆ ที่กระทรวงพาณิชย์จัดขึ้น รวมทั้ง สนับสนุนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจอุดหนุนผลิตภัณฑ์และบริการของกลุ่มวิสาหกิจเพื่อสังคมมากขึ้น"
                    "สำหรับการจัดงานขึ้นในวันนี้ สามารถแสดงได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของวิสาหกิจเพื่อสังคมได้เป็นอย่างดีโดยกิจกรรมประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ การสัมมนา/เสวนาเชิงวิชาการ เพื่อสร้างการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ในการโอกาสการสร้างธุรกิจให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ โดยวิทยากรชั้นนำ
ด้านการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม อาทิ นายมีชัย วีระไวทยะ ประธานมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ ผู้แทนกรมสรรพากร ผู้บริหารสำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้บริหารบริษัทบางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท สยามออร์แกนิค จำกัด (ข้าวเจสเบอรี่)"
                     "การนำเสนอวิสาหกิจเพื่อสังคมที่สามารถเป็นต้นแบบที่ดี โดยแบ่งเป็น 5 ด้าน ได้แก่ - ด้านที่ 1 อาหาร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม - ด้านที่ 2 การศึกษา - ด้านที่ 3 พลังงาน - ด้านที่ 4 การพัฒนาชุมชนและสังคม และ - ด้านที่ 5 เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส และ การให้คำปรึกษาแนะนำการประกอบธุรกิจเพื่อสังคม โดย 3 หน่วยงานของกระทรวงฯ คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ 2 หน่วยงานพันธมิตร คือ กรมสรรพากร และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย"
                      รมช.พณ. กล่าวทิ้งท้ายว่า "กระทรวงพาณิชย์มีเป้าหมายที่จะพัฒนากิจการที่มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาให้เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้ ร้อยละ 50 จากจำนวนทั้งสิ้น 361 ราย (ข้อมูลจาก สกส.) เพื่อให้กิจการที่กำลังจะก้าวสู่การเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมมีผลกำไรเพิ่มขึ้น และต้องนำผลกำไรส่วนใหญ่กลับคืนสู่ชุมชน ทำให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดการพึ่งพิงภาครัฐลง โดยรัฐยังคงได้การสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือ วิสาหกิจเพื่อสังคมจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนระยะยาวต่อไป"
 
****************************************
ที่มา : กองส่งเสริมธุรกิจชุมชน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า                                                                          ฉบับที่ 113 / วันที่ 23 สิงหาคม 2560