พาณิชย์ จัดระบบนิติบุคคลต่างด้าวทุกประเภท ที่ประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรไทยต้องแจ้งสถานประกอบธุรกิจ เพื่อออกเลขนิติบุคคลในการส่งงบการเงิน

พาณิชย์ จัดระบบนิติบุคคลต่างด้าวทุกประเภท
ที่ประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรไทยต้องแจ้งสถานประกอบธุรกิจ
เพื่อออกเลขนิติบุคคลในการส่งงบการเงิน
 
                         กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ออกประกาศย้ำให้นิติบุคคลต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทยต้องปฏิบัติตามพ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ.2543 โดยมีหน้าที่ส่งงบการเงิน เก็บรักษาบัญชีและเอกสาร แจ้งสถานที่เก็บเอกสาร ซึ่งกรมฯ จะอำนวยความสะดวกในการออกเลขนิติบุคคลให้ โดยไม่ต้อง ขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีจากสรรพากรอีก ทั้งนี้ แม้จะเป็นธุรกิจที่ไม่ได้ระบุตามบัญชีท้ายของพ.ร.บ.ต่างด้าว ก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด
                        นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ตามที่พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ. 2543 ได้กำหนดให้นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศและเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยเป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ซึ่งหมายความถึงนิติบุคคลต่างประเทศที่ต้องขออนุญาตประกอบธุรกิจในประเทศไทย ตามท้ายพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ทั้งบัญชี 2 ที่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศหรือมีผลกระทบต่อศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณีหรือทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะต้องได้รับการอนุญาตจากคณะรัฐมนตรี และบัญชี 3 เป็นธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมในการแข่งขัน จะต้องได้รับการอนุญาตจากอธิบดี โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และรวมถึงนิติบุคคลต่างประเทศที่เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย แม้จะมิใช่ธุรกิจตามบัญชีท้ายก็ตาม ซึ่ง 'นิติบุคคลต่างด้าวในประเทศไทยทั้งหมดนี้จะต้องมีหน้าที่ในการจัดทำบัญชีและส่งงบการเงิน' โดยยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าหรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด
                       อย่างไรก็ดี ขณะนี้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ออกประกาศ เรื่อง แนวปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วย การบัญชี สำหรับผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีที่เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจ ในประเทศไทย พ.ศ.2559 โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ซึ่งประกาศฉบับนี้มีสาระสำคัญต่อนิติบุคคลต่างด้าวซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีใน 5 ประเด็นคือ 1) ให้เริ่มทำบัญชีตั้งแต่วันที่ นิติบุคคลประกอบกิจการในประเทศไทย 2) จัดทำงบการเงินตามรอบการปิดบัญชี และยื่นต่อกรมฯ หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด 3) ต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการ 4) เมื่อเริ่มประกอบกิจการในประเทศไทยต้องแจ้งสถานที่เก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ใช้ประกอบการลงบัญชีต่อกรมฯ จากนั้นกรมฯ จะออกเลขนิติบุคคลให้เพื่อแสดงความมีตัวตน และ 5) หากมีการเปลี่ยนแปลงหรือแจ้งย้ายสำนักงานให้คงเลขนิติบุคคลนั้นไว้เช่นเดิม
                     อธิบดีฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า "การออกประกาศฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวาง 'แนวทางรองรับการปรับปรุงประเภทธุรกิจ' ตามบัญชี 3 ท้ายพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ที่มีผลให้ธุรกิจต่างด้าวบางประเภทไม่ต้องขออนุญาตประกอบธุรกิจในประเทศไทย โดยขณะนี้ธุรกิจบริการเป็นสำนักงานผู้แทนธนาคาร ได้ถูกปลดออกจากบัญชีแล้ว แต่สำหรับธุรกิจบริการเป็นสำนักงานภูมิภาค และธุรกิจบริการเป็นคู่สัญญาภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจ กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาปลดออกจากบัญชี 3 และเมื่อเป็นธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจตามบัญชีท้าย คนต่างด้าวก็สามารถทำธุรกิจนั้นได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ก็ยังต้องการการรับรอง ความมีตัวตนโดยรัฐ กรมฯ จึงออกประกาศเพื่อให้ธุรกิจต่างด้าวรายใหม่ทุกรายที่ไม่ต้องขออนุญาตมาแจ้งสถานที่เก็บรักษาบัญชีที่กรมฯ เพื่อที่จะออกเลขทะเบียนนิติบุคคลให้ โดยไม่ต้องไปขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีจากสรรพากรอีก นอกจากนี้ยังเป็น 'การย้ำเตือน' ให้นิติบุคคลต่างด้าวทุกประเภทจะต้องส่งงบการเงินให้ถูกต้องตามกฎหมายและต้องแสดงตัวตน ต่อกรมฯ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดต่อประเทศ อาทิ การใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (นอมินี) ความเสียหายต่อเศรษฐกิจการค้า และผลกระทบต่อการจ้างงานคนไทย เป็นต้น
                    กรมฯ ได้ดำเนินงานดังกล่าวนี้เพื่อสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการอำนวยความสะดวกแก่ ชาวต่างชาติในการเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจเกิดความคล่องตัว เหมาะสมกับสภาพการค้า การลงทุน และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับยังต้องรักษาความมั่นคงของเศรษฐกิจในประเทศควบคู่กันไปด้วย"
                   ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกาศฯ ทั้งภาคภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษได้ที่ www.dbd.go.th หน้าหลัก และเลือกที่หลักหัวข้อ "ประกาศ" หรือ "กฎหมาย"
 
---------------------------------------------------
ที่มา: สำนักกฎหมาย                                                                                                                ฉบับที่ 81/ 29 มิถุนายน 2559